https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/issue/feed วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 2024-08-30T10:06:45+07:00 วัรดา บินตุซัยด์ เส็มไข่ ejournal@yru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา เป็นเอกสารวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพ ในลักษณะของบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ (การเงิน การบัญชี การจัดการ โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว) ศึกษาศาสตร์ (การวัดและประเมินผล บริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน วิจัยทางการศึกษา) วิจัยทางด้านสังคม และพัฒนาชุมชน <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ จำนวน</strong><strong> 2 หรือ 3 คน </strong><em>(ขึ้นกับความประสงค์ของผู้นิพนธ์) </em>โดย<strong>ประเมินแบบ Double-Blinded review</strong> เผยแพร่แบบออนไลน์ (ISSN: 2985-1424 (Online)) ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม) </p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/269967 การสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการอิสลามสำหรับธุรกิจมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ 2024-01-12T09:31:41+07:00 ปวีณา เจะอารง paweena.j@yru.ac.th หมะหมูด หะยีหมัด mahmood.h@psu.ac.th <p>การสื่อสารการตลาดเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดย่อม กลาง และใหญ่ รวมถึงธุรกิจในจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่านักธุรกิจมุสลิมและลูกค้ามุสลิมทราบหรือไม่ว่าการสื่อสารการตลาดตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามควรเป็นอย่างไร หากธุรกิจดำเนินการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการอิสลามแล้วจะส่งผลอย่างไรกับธุรกิจ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการสื่อสารการตลาดตามบทบัญญัติอิสลามที่เหมาะสมกับนักธุรกิจมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ การศึกษานี้ใช้แบบวิเคราะห์เอกสารจากบทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์เนื้อหา และนำเสนอผลแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า การสื่อสารการตลาดโดยการโฆษณาต้องนำเสนอข้อเท็จจริง ไม่โกหก บิดเบือนข้อเท็จจริงจนลูกค้าเกิดความเข้าใจผิด การผลิตงานโฆษณาต้องไม่มีสิ่งต้องห้าม เช่น ซินา สุรา และดนตรี ส่วนการประชาสัมพันธ์ต้องมุ่งเชิญชวนให้เกิดสิ่งที่ดี และห้ามปรามสิ่งไม่ถูกต้อง สำหรับการส่งเสริมการขายต้องไม่เข้าข่ายการพนัน ล็อตเตอรี่ และหวย การใช้พนักงานขายต้องไม่ให้ข้อมูลเท็จ ไม่ตอบคำถามลูกค้าด้วยความไม่รู้ และไม่ว่าร้ายคู่แข่งขันทางธุรกิจ และการผลิตเนื้อหาการตลาดบนโซเชียลมีเดีย ต้องไม่ทำตามกระแสโดยไม่คำนึงถึงบทบัญญัติของอิสลาม</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/271157 การพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีการสอนแบบค้นพบด้วยวิธีแนะแนวทางร่วมกับการใช้คำถามที่เน้นการรู้คิด เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารจำนวนนับ 2024-03-13T13:54:40+07:00 ซอบรียะห์ ยามินม๊ะ 736504024@yru.ac.th ลิลลา อดุลยศาสน์ lilla.a@yru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีการสอนแบบค้นพบด้วยวิธีแนะแนวทางร่วมกับการใช้คำถามที่เน้นการรู้คิด เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารจำนวนนับ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมดังกล่าว แล้วทำการศึกษาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์และความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดยะลา ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 32 คน ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบก่อนเรียนแล้วดำเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรม จากนั้นทำแบบทดสอบหลังเรียนและตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ ด้วยชุดกิจกรรม ซึ่งผู้วิจัยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมตามเกณฑ์ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> เท่ากับ 70/70 จากนั้นใช้ Pair sample t-test เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ก่อนและหลังเรียน และใช้ One sample t-test เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจ ของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมมีค่าเท่ากับ 72.04/75.93 2) คะแนนความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) คะแนนความฉลาดรู้ ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 4) คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม มีค่าเท่ากับ 3.93 ซึ่งอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับครูในการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของผู้เรียนได้</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/270389 การศึกษาเปรียบเทียบและเสนอแนวทางการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดเชียงใหม่ 2024-02-21T10:42:49+07:00 พิมพิมล ใบผ่อง phuping.siraphob@gmail.com ณัฐิยา ตันตรานนท์ nuttiya18@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเสนอแนวทางการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนเอกชนจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยประกอบด้วยครูโรงเรียนเอกชน จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 346 คน และผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชน จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนเอกชนจังหวัดเชียงใหม่ และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการใช้ค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ทดสอบรายคู่เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูโรงเรียนเอกชนจังหวัดเชียงใหม่มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ครูโรงเรียนเอกชนจังหวัดเชียงใหม่ที่มีเพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน และค่าตอบแทนที่ต่างกัน มีแรงจูงใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อย่างไรก็ตาม ครูที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีแรงจูงใจที่ไม่ต่างกัน 3) ผู้บริหารควรให้ความสำคัญทั้งในด้านปัจจัยจูงใจ ประกอบด้วย ด้านโอกาสเจริญก้าวหน้าในงาน ผู้บริหารควรเปิดโอกาสให้ครูได้พัฒนาตนเองในงานที่ปฏิบัติ เช่น กำหนดแนวทางในการสนับสนุนทุนการศึกษา ให้ครูได้รับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และปัจจัยค้ำจุน ประกอบด้วย ด้านเงินเดือน/ค่าตอบแทน ผู้บริหารควรให้เงินเดือน/ค่าตอบแทนครู โดยยึดตามฐานเงินเดือนครูในอัตราที่ต้นสังกัดกำหนด มีการพัฒนาคู่มือ แนวทางการเลื่อนขั้นเงินเดือนครูอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อครูจะได้ปฏิบัติงานให้ตรงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ กำหนดอัตราเงินเดือน/ค่าตอบแทน และการเลื่อนขั้นเงินเดือนโดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับค่าครองชีพปัจจุบัน</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/271439 การพัฒนาเครื่องมือวัดและเกณฑ์มาตรฐานความฉลาดในการเล่นสำหรับเด็กไทยอายุ 7-12 ปี 2024-04-11T10:41:19+07:00 สมพร โกมารทัต somporng@dpu.ac.th ชัชชัย โกมารทัต somporng@dpu.ac.th <p>การเล่นมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก การเล่นอย่างฉลาดมีประโยชน์ต่อพัฒนาการด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม การที่จะรู้ว่ามีความฉลาดในการเล่นอยู่ในระดับใดจำเป็นต้องมีเครื่องมือวัด การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องมือวัดและเพื่อสร้างเกณฑ์มาตรฐานความฉลาดในการเล่นสำหรับเด็กไทยอายุ 7-12 ปี จำแนกตามอายุและเพศ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 อายุ 7-12 ปี จำนวน 1,355 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า เครื่องมือวัดความฉลาดในการเล่นสำหรับเด็กไทยอายุ 7-12 ปี ประกอบด้วยรายการทดสอบ 4 รายการ คือ (1) วิ่งซิกแซกสลับวิ่งตรงเก็บของเหมือน (2) ขว้าง-รับ สลับเตะ-รับลูกบอลกระทบผนัง (3) วิ่งใส่เหรียญในกระป๋องตามคำสั่ง และ (4) วิ่งวิบาก เครื่องมือวัดนี้มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาโดยการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิมีค่า IOC ระหว่าง 0.80-1.00 ค่าความตรงเชิงโครงสร้างมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 และมีค่าความเที่ยงระหว่าง 0.74 - 0.85 เกณฑ์มาตรฐานความฉลาดในการเล่นของเด็กไทยอายุ 7-12 ปี จำแนกตามอายุและเพศ 5 ระดับคือ ดีมาก ดี ปานกลาง ต่ำ และต่ำมาก เครื่องมือวัดและเกณฑ์มาตรฐานความฉลาดในการเล่นจากการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้วัดและบอกระดับความฉลาดในการเล่นของเด็กอายุ 7-12 ปี ทั้งเพศชายและหญิง ทำให้ทราบข้อเด่น ข้อด้อยในองค์ประกอบย่อยของความฉลาดในการเล่น เพื่อนำไปสร้างและพัฒนาความฉลาดในการเล่นของเด็กส่งผลให้เด็กไทย มีการพัฒนาความฉลาดในการเล่นที่เหมาะสมกับวัย</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/271528 ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำ การบริหารความเสี่ยง และวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อการจัดการความต่อเนื่องของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในเขตกรุงเทพมหานคร หลังการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2024-03-26T12:12:38+07:00 สิปป์ณรงค์ กาญจนาวงศ์ไพศาล sipnarong.ka@ssru.ac.th ทิฆัมพร พันลึกเดช tikhamporn.pu@gmail.com <p>จากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันและมีโอกาสที่จะกลับมาระบาดซ้ำ ผู้วิจัยจึงทำการศึกษาโดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างโมเดลสมการโครงสร้าง กับข้อมูลเชิงประจักษ์ของ ภาวะผู้นำ การบริหารความเสี่ยง และวัฒนธรรมองค์กร ที่ส่งผลต่อการจัดการความต่อเนื่องของธุรกิจในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในเขตกรุงเทพมหานคร หลังการระบาดของไวรัสโคโรน่า โดยการสร้างโมเดลสมการโครงสร้าง และการตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารงานในสถานที่ก่อสร้างจำนวน 701 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ใช้เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม โดยตรวจสอบความเชื่อมั่น ด้วยการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของเครื่องมือแต่ละตัวแปร ได้ค่าระหว่าง 0.91-0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยทดสอบสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และสถิติโมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่าโมเดลตามสมมติฐานมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่า X<sup>2</sup>=103.21, X<sup>2</sup>/df =1.10,df=93, p=0.13, GFI=0.96, AGFI = 0.97, CFI = 0.98, TLI = 0.97, NFI = 0.98, RMSEA = 0.014, RMR = 0.003 ค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ เท่ากับ 0.95 แสดงว่า ตัวแปรทั้งหมดร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจได้ร้อยละ 99 ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการจัดการความเสี่ยงและวัฒนธรรมองค์กร คือ ภาวะผู้นำ อีกทั้งมีอิทธิพลทางอ้อมเชิงบวกต่อ การจัดการความต่อเนื่องของธุรกิจ การค้นพบนี้ไม่ได้จำกัดเพียงกลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงทุกธุรกิจ ที่ควรตระหนักและนำไปใช้เพื่อเป็นมาตรการรองรับกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่นเกิดโรคระบาดขึ้นอีกในอนาคต</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/271841 การศึกษาสถานภาพงบประมาณการวิจัยโครงการวิจัยที่ได้รับทุนจากแหล่งทุนต่างประเทศ ของมหาวิทยาลัยมหิดลในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 2024-05-09T10:28:53+07:00 จิตติพร นวลละออง chittiporn.nua@mahidol.edu ศิราวัลย์ อัศวเมฆิน sirawan.cha@mahidol.edu วรินทร์พิภพ ชยทัตภูมิรัตน์ varinpiphob.cha@mahidol.edu <p>สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อการทำงานวิจัยและทุนวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล คณะผู้วิจัยจึงได้ศึกษาสถานภาพงบประมาณทุนวิจัยที่ได้รับจากแหล่งทุนภายนอกต่างประเทศในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อวิเคราะห์สถานภาพงบประมาณโครงการวิจัยที่ได้รับทุนวิจัยในปีงบประมาณ 2564-2566 และ เปรียบเทียบสัดส่วนการได้รับทุนวิจัยจำแนกตามสาขาการวิจัยและแหล่งทุน และเปรียบเทียบงบประมาณของโครงการวิจัยที่ได้รับทุนตามส่วนงานต้นสังกัด โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสารสัญญารับทุนและฐานข้อมูลโครงการของงานบริหารและส่งเสริมการวิจัย กองบริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 269 โครงการ นำไปศึกษาวิจัย เรียบเรียง จัดกลุ่มข้อมูล และวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางสถิติพบว่า มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับทุนจากแหล่งทุนภายนอกต่างประเทศในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 เพิ่มสูงขึ้น โดยปีงบประมาณ 2566 ได้รับงบประมาณสูงที่สุด จำนวน 878,243,292.34 บาท และโครงการวิจัยที่ได้รับทุนตั้งแต่ 1,000,001 – 5,000,000 บาท/โครงการ มีจำนวนมากที่สุด โดยสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพได้รับทุนจำนวนโครงการมากที่สุด ซึ่งแหล่งทุนที่อนุมัติทุนวิจัยสูงที่สุดคือ Department of Defense (DoD) และ National Institutes of Health (NIH) และคณะเวชศาสตร์เขตร้อนได้รับทุนวิจัยจากแหล่งทุนภายนอกต่างประเทศมากที่สุด จากผลการศึกษาครั้งนี้แสดงถึงความเชี่ยวชาญในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพของมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤติโรคระบาดทั่วโลกและนโยบายการสนับสนุนทุนของแหล่งทุนภายนอกต่างประเทศที่มุ่งเน้นสนับสนุนทุนวิจัยในสาขาด้านการแพทย์และสุขภาพ และยังเป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการแสวงหาแหล่งทุนวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยศึกษานโยบายการให้ทุนของแหล่งทุนและประชาสัมพันธ์ให้ตรงกับความเชี่ยวชาญของนักวิจัย เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับอนุมัติทุนจากแหล่งทุนมากขึ้น</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/270743 การพัฒนาชุดการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทนโดยใช้สื่อการสอนเสมือน สำหรับการส่งเสริมสมรรถนะของนักศึกษาหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต 2024-05-09T16:29:33+07:00 สุริยาวุธ เสาวคนธ์ suriyawut_ya@hotmail.com สมศักดิ์ อรรคทิมากูล suriyawut_ya@hotmail.com <p>หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงมุ่งให้ผู้เรียนมีสมรรถนะ และคุณลักษณะที่จำเป็นในวิชาชีพด้านเทคโนโลยี อันเป็นการสร้างรากฐานความมั่นคงอย่างหนึ่งของประเทศ ผู้วิจัยในฐานะผู้สอนจึงสนใจหาวิธีการพัฒนาผู้เรียนไปสู่ความคาดหวังดังกล่าวด้วยการทำวิจัยนี้ขึ้น เพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทนสำหรับส่งเสริมสมรรถนะของนักศึกษา รวมทั้งเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสมรรถนะของผู้เรียนก่อนและหลังเรียนด้วยชุดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จำนวน 26 คน ที่มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย ชุดการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสมรรถนะ เก็บข้อมูลด้วยการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนสอบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าสัดส่วนคะแนนร้อยละระหว่างเรียนและหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด 75/75 2) ค่าที ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลวิจัยพบว่า 1) ชุดการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.49, S.D.=0.57) 2) ประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้เท่ากับ 77.16/75.72 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) สมรรถนะของผู้เรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นโดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 76.55 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชุดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตามที่หลักสูตรกำหนดได้</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/271603 แรงงานข้ามชาติ : การย้ายถิ่นกลับของแรงงานไทยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในอิสราเอล 2024-03-29T17:51:45+07:00 อดิศร ภู่สาระ sorn1@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบการสร้างทฤษฎีฐานราก มีวัตถุประสงค์เพื่อหาข้อสรุปเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับภูมิหลัง และความคาดหวังของแรงงานไทยกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ก่อนไปทำงาน สภาพการทำงาน และผลจากการย้ายถิ่นกลับ จากกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ย้ายถิ่นกลับจากประเทศอิสราเอล ในพื้นที่ชุมชนห้วยหาน จังหวัดเชียงราย การคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ<br />โดยเทคนิค สโนว์บอลล์ จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบการสร้างทฤษฎีฐานราก การตรวจสอบความตรงโดยการเปรียบเทียบกับทฤษฎีหลัก ผลการวิจัยพบว่า ก่อนเดินทางไปทำงานในอิสราเอล แรงงานไทย มีความคาดหวังจากการทำงานคือ อัตราค่าจ้างสูง สามารถนำเงินมาซื้อบ้าน รถยนต์ การจัดการศึกษาบุตร และการลงทุนประกอบอาชีพ กลุ่มเครือญาติเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ ค่าใช้จ่ายสำหรับค่าดำเนินการไปทำงานและการดูแลครอบครัว สภาพการทำงานแรงงานไทยทำงานในภาคการเกษตรในโมชาฟใกล้ฉนวนกาซา รายได้จากการทำงานถูกส่งให้ภรรยาเป็นผู้จัดการค่าใช้จ่ายในครอบครัว และการออม ผลจากการย้ายถิ่นกลับ แรงงานไทยทั้งหมดกลับก่อนหมดสัญญาการทำงานเนื่องจากสามารถออมเงินได้ตามความคาดหวัง และสถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอล แรงงานไทยบรรลุความหวังก่อนไปทำงาน และนำทักษะทางการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองข้อเสนอแนะจากการวิจัยคือ ภาครัฐควรจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อการจัดการส่งคนงานไปต่างประเทศ และการนำประสบการณ์ การใช้เทคโนโลยีการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในประเทศ</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/272364 รูปแบบการจัดการความร่วมมือสำหรับการบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน กรณีศึกษา สาขาวิชาการจัดการธุรกิจการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 2024-06-07T11:07:50+07:00 พีรยา จินดามณี peeraya.j@psu.ac.th วิชชุตา มาชู witchuta.m@psu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือ ศึกษาความต้องการ ปัญหา และอุปสรรคในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน และกำหนดรูปแบบการจัดการความร่วมมือสำหรับการบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลปฐมภูมิโดยใช้การสนทนากลุ่มย่อยและการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญของหลักสูตรจำนวนรวม 49 ตัวอย่าง ดังนี้ (1) สถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ จังหวัดกระบี่ จำนวนรวม 20 แห่ง (2) นักศึกษาจำนวน 22 คน (3) คณาจารย์ในหลักสูตรจำนวน 6 คน (4) ผู้บริหาร จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี จำนวน 1 คน และศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของหลักสูตร ผลการศึกษาพบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่ ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน ไม่มีระบบพี่เลี้ยงสอนงาน ไม่สามารถจัดสรรผู้เชี่ยวชาญมาดูแลนักศึกษา และมีความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น แต่สถานประกอบการมีความสนใจในการทำงานกับสถาบันการศึกษาในการรองรับการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน รูปแบบการจัดการความร่วมมือในครั้งนี้ มีหลักสำคัญ คือ นโยบายของมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน และมีการขับเคลื่อนนโยบายร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย หลักสูตร/สาขาวิชา และสถานประกอบการ และต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ร่วมกันจากการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวฯ และความพึงพอใจของนักศึกษาต่อรูปแบบการเรียนการสอนเชิงบูรณาการกับการทำงานในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ผลจากการวิจัยนี้เป็นแนวทางในการออกแบบการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน ให้แก่สาขาวิชาอื่น ๆ ต่อไป</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/272151 Understanding the Phenomenon of Street Children in Lome, Togo 2024-04-27T14:01:11+07:00 Kossi Sikpisikpi 6552301010@lamduan.mfu.ac.th Thanikun Chantra thanikun.cha@mfu.ac.th <p>This study focused on investigating the causes of the phenomenon of street children in Lomé and the challenges they face. The study applied a qualitative method based on documentary research and interviews of 20 participants composed of public services, international organizations and private sectors, and community leaders as well as parents living in the city of Lomé. This article addressed the different causes of this phenomenon of street children in Lomé with particular emphasis on the contribution of urbanization as one of the important causes of this phenomenon. The findings showed that the weakness of the existing public-private-people partnership does not make it possible to provide lasting responses to the needs of street children. The study proposes to revitalize the partnership between the different actors. The government must develop and implement a protection policy that addresses the problems of children. The concerned organizations must put in place basic social services at all levels to avoid the displacement of parents and children to the country's major cities. With the improvement of the public-private-people partnership strategy in collaboratively solving the phenomenon of street children, Togo will be able to reduce the level of poverty through job creation and higher living standard for young people. </p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา