วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human
<p>วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา เป็นเอกสารวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพ ในลักษณะของบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ (การเงิน การบัญชี การจัดการ โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว) ศึกษาศาสตร์ (การวัดและประเมินผล บริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน วิจัยทางการศึกษา) วิจัยทางด้านสังคม และพัฒนาชุมชน <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ จำนวน</strong><strong> 2 หรือ 3 คน </strong><em>(ขึ้นกับความประสงค์ของผู้นิพนธ์) </em>โดย<strong>ประเมินแบบ Double-Blinded review</strong> เผยแพร่แบบออนไลน์ (ISSN: 2985-1424 (Online)) ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม) </p>Southern Border Research and Development Institute, Yala Rajabhat Universityth-THวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา2985-1424<p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลานี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาก่อนเท่านั้น</p>SD-STAR: นวัตกรรมการสอนที่บูรณาการทักษะปฏิบัติตามแนวคิดของเดวีส์กับสถานการณ์จำลอง เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์และทักษะปฏิบัติพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/278934
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพัฒนาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องฮัจญ์และอุมเราะฮ์หลังการจัดการเรียนรู้ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องฮัจญ์และอุมเราะฮ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาทักษะปฏิบัติการทำฮัจญ์และอุมเราะฮ์หลังการจัดการเรียนรู้ 4) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนอุดมศาสน์วิทยา จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 34 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ SD-STAR 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3) แบบประเมินทักษะปฏิบัติฮัจญ์และอุมเราะฮ์ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าพัฒนาการสัมพัทธ์ และการทดสอบค่าที แบบกลุ่มเดียว และแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2) ค่าพัฒนาการสัมพัทธ์อยู่ในระดับสูง เฉลี่ยเท่ากับ 56.13 3) นักเรียนทุกคนมีทักษะปฏิบัติในระดับดีเยี่ยม และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความรู้ ทักษะปฏิบัติ สามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่ว ทั้งนี้ผู้สอนควรมีความรู้ในหลักคำสอนและการปฏิบัติของศาสนาอิสลาม จัดเตรียมสื่อและอุปกรณ์ให้เพียงพอ การวิจัยต่อไปควรศึกษาความคงทนของความรู้ การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาอื่น และขยายขอบเขตไปยังกลุ่มที่ต้องการประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์จริง เพื่อพัฒนาให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่มีความหลากหลาย</p>มุฮัมหมัดซาฮีด สาแลมิงฮามีด๊ะ มูสอณัฐวิทย์ พจนตันติอิสมาแอ กาเต๊ะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-1920319ผลการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันเกมเพื่อส่งเสริมความคิดเชิงคำนวณ ด้านการคิดเชิงนามธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/277882
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันเกมที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงคำนวณ ด้านการคิดเชิงนามธรรมในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์หลังการทดลองระหว่างกลุ่มนักเรียนที่มีระดับชั้นแตกต่างกัน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนนาหลวง สังกัดกรุงเทพมหานคร ที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม โดยสุ่มเลือกห้องเรียนจากแต่ละระดับชั้น ระดับชั้นละ 1 ห้องเรียน โดยจำกัดเฉพาะนักเรียนที่ลงเรียนในวิชาเลือกเสรี วิชาคอมพิวเตอร์ รวมทั้งสิ้น 74 คน ผลการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของทุกระดับชั้นพบว่า คะแนนหลังเรียนของนักเรียนทุกระดับชั้นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนระหว่างกลุ่มชั้นเรียน พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (F = 9.53 p < 0.01) โดยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 3 อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 3 ผลการประเมินความพึงพอใจต่อการใช้เกมนี้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.02 S.D. = 0.15) แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจในด้านความสนุกสนานและรูปแบบของเกม โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 3 งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ด้วยเกม ซึ่งบ่งชี้ว่า เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าทางการศึกษา สนับสนุนการบูรณาการกลยุทธ์การเรียนรู้โดยใช้เกมในหลักสูตรวิทยาการคำนวณ</p>สุธิวัชร ศุภลักษณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192031020รูปแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนประถมศึกษาของประเทศไทยในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคอีดีเอฟอาร์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/274118
<p>การวิจัยนี้มุ่งพัฒนารูปแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนประถมศึกษาของประเทศไทยในทศวรรษหน้า โดยใช้เทคนิคอีดีเอฟอาร์ เครื่องมือการวิจัยเป็นการสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง และแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีดัชนีความสอดคล้อง 0.67 - 1.00 และมีความเชื่อมั่น 0.78 โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง จากผู้บริหารโรงเรียน นักวิชาการ คณาจารย์ ครูผู้ดูแลในการจัดสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ในโรงเรียนประถมศึกษา นักสิ่งแวดล้อมภาคประชาสังคมและผู้นำชุมชนที่มีประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม จำนวน 32 คน และแบ่งเป็น 2 ชุด โดยชุดที่ 1 มี 21 คน เพื่อเป็นผู้ให้แนวคิด หลักการ และแนวทางการพัฒนารูปแบบ โดยการสัมภาษณ์และตอบแบบสอบถามชุดที่ 2 มี 11 คน เพื่อประเมินความเหมาะสมของรูปแบบผ่านวิธีการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแต่ละชุดจะมีองค์ประกอบของผู้เชี่ยวชาญครบทั้ง 6 กลุ่มดังกล่าว วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาและจัดกลุ่ม ฐานนิยม มัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ได้รูปแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนประถมศึกษาของประเทศไทยในทศวรรษหน้าที่มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ กระบวนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การกำหนดทิศทางและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างการมีส่วนร่วม การทบทวนและติดตาม และการจัดการสิ่งแวดล้อมเป้าหมาย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ นักเรียนมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โรงเรียนมีระบบจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และชุมชนรอบโรงเรียนมีการจัดการดูแลสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม จริงจังและมีระบบ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า เป็นรูปแบบที่ดี มีความเหมาะสมสามารถนำไปใช้ในโรงเรียนได้</p>สันติ แซ่ว่องวิชิต เรืองแป้นภานุ คะนอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192032130ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/279902
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดเชิงคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงคณิตศาสตร์ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้การสัมภาษณ์ครูต้นแบบด้านการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 15 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ที่พัฒนาจากผลการวิเคราะห์ เชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างครูผู้สอนคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 390 คน ซึ่งได้มาจากการกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามหลักการวิเคราะห์ความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นตามกฎความเพียงพอในการวิเคราะห์ข้อมูล และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเอนเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า แนวทางจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงคณิตศาสตร์ควรบูรณาการหลักสูตร พัฒนาครู เสริมทักษะผู้เรียน และการสนับสนุนจากผู้บริหาร ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านทักษะการสอน ด้านจิตลักษณะของครู ด้านการสนับสนุน ด้านผู้เรียน และด้านหลักสูตร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยปรับแล้ว (R²adj) เท่ากับ 0.542 แสดงให้เห็นว่า ทั้ง 5 ปัจจัยสามารถร่วมกันทำนายความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้ของครูได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 จากผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการพัฒนาครูที่เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง การส่งเสริมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน</p>ยามีละห์ สุกีอาฟีฟี ลาเต๊ะลิลลา อดุลยศาสน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192033142การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาอัลฟิกฮฺ เรื่อง อาหารฮาลาล และหะรอม โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบาโด
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/280035
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาอัลฟิกฮฺโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น ตามเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้รายวิชาอัลฟิกฮฺ เรื่อง อาหารฮาลาลและหะรอม โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบาโด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 10 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น จำนวน 8 แผน 2) แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ 3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้มีค่า E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> = 80.31/81.50 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 4) ความพึงพอใจของนักเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้ ครูควรปรับแต่งกิจกรรมให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละระดับ จัดสรรเวลาอย่างเป็นระบบ และควรขยายผลการวิจัยไปยังกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้น</p>ซูฟียาน มุไทมูหำมัดสุใหมี เฮงยามาอิสมาแอ สนิ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192034353The Development of Metaverse on Thai Herbs Using the ADDIE Model
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/279959
<p>Local wisdom embodies knowledge, skills and practices passed down through generations to address challenges in the lives of people in local communities. In Thailand, the preservation of local wisdom serves as cultural social capital but faces the risk of decline because of an ageing population. This research develops the metaverse of Thai herbs using the analysis, design, development, implementation and evaluation (ADDIE) model in Mae Tha District, Lampang Province, Thailand, imparting herbal knowledge to future generations. This research follows five phases-learner analysis, design, development, implementation and evaluation-employing a mixed-methods approach. The qualitative study involved document analysis to identify community needs related to Thai herbs, which informed the development of the metaverse incorporating static images, three-dimensional (3D) images using augmented reality (AR) technology, and videos. The targeted learners accessed the metaverse through an avatar. A quantitative study examined how the ADDIE-based metaverse enhanced students’ learning processes. The target group comprised 30 junior high school students from Thippala Vithayanu Sorn School. Research instruments consisted of structured interview forms, learning record forms, the metaverse quality assessments and pre and post-learning achievement tests. Statistical analyses applied percentages, means and standard deviations (SDs). The findings revealed that experts rated the metaverse quality at 4.54, indicating a very high standard. Post-learning achievement scores (mean = 13.37, 66.83%) significantly exceeded pre-learning scores (mean = 6.93, 34.67%), marking a 32.16% improvement (SD = 0.94). These results demonstrate that the ADDIE-based metaverse effectively supports the preservation of local wisdom for future generations. The metaverse proved to be an effective tool to enhance students’ learning and preserve herbal wisdom.</p>Mayuree PhitthayaseneeParamin Wongkhamsing Pongporn PunpengChamaiporn Karnjanapan
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192035464Development of Indicators for Organizing Learning Based on Community Context to Ensure the Quality of Education at the Basic Education Level: Confirmatory Factor Analysis
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/279918
<p>This study aimed to development of indicators for organizing learning based on community context to ensure the quality of education at the basic education level: Confirmatory factor analysis and to test the goodness-of-fit of the structural equation model of indicators for organizing learning based on community context. The sample consisted of 117 teachers from schools under the jurisdiction of the Pattani Primary Educational Service Area Office 1, selected proportionally based on their subject areas. Data were collected using a 21-item, five-point Likert scale questionnaire. Content validity was verified by five experts, with Item-Objective Congruence (IOC) values ranging from 0.80 to 1.00. The overall instrument demonstrated high reliability, with a Cronbach’s alpha coefficient of 0.961. Data analysis employed confirmatory factor analysis (CFA). The findings revealed that organizing learning based on community context management comprises four components with a total of 21 indicators: (1) Concrete experience (CE), (2) Reflective observation (RO), (3) Abstract conceptualization (AC) and (4) Active experimentation (AE). The empirical data demonstrated good model fit, as indicated by the following fit indices: X<sup>2</sup> = 262.80, df = 186, p < 0.001; GFI = 0.99; AGFI = 0.90; SRMR = 0.07; RMSEA = 0.06; p-value for test of close fit = 0.99; NFI = 0.98; IFI = 0.99; CFI = 0.99. The standardized factor loadings for each indicator ranged from 0.71 to 0.93. Drawing upon the results of this study, the following recommendations are presented to guide further research should be conducted in diverse contexts and with more varied samples and investigate the outcomes of implementing the developed indicators in real educational settings.</p>Panida Dumrongsusakul
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192036573Enhancing English Proficiency through a Blended Phonics Strategy for First-Year University Students
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/278997
<p>This study investigates the effectiveness of a Blended Phonics Approach in enhancing English language skills among first-year students at Yala Rajabhat University. The research aims to improve phonemic awareness and decoding skills by comparing students who received this approach with those following the standard English communicative skills curriculum. A quasi-experimental design was employed with a pretest-posttest control group over three weeks. The sample included 60 students divided into experimental (n = 30) and control (n = 30) groups, all familiar with the Rumi script, a Romanized system for Local Melayu. Data collection involved pre-test and post-test assessments, a perception questionnaire and semi-structured interviews. Results showed significant improvement in phonics (experimental group: pre-test mean 45.3, post-test mean 72.4) and overall language skills (pre-test mean 50.1, post-test mean 75.6), with notable gains in speaking and vocabulary for the experimental group. Conversely, the control group showed modest improvements. Students in the experimental group reported higher self-perceived phonics awareness and believed in significant language skill enhancement. The study concludes that the Blended Phonics Approach, incorporating phonemic awareness, letter-sound correspondence and multisensory instruction, effectively enhances phonics and English proficiency. These findings underscore the potential of tailored phonics instruction for adult learners, particularly those accustomed to writing systems like Rumi. Practical implications highlight the approach's relevance in improving language acquisition strategies.</p>Naruemon YamarengAmeenah LongdewaSuhaila Mahamu
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192037485การวิจัยแบบกึ่งทดลองเชิงผสานวิธีของโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมทางการเงินเชิงบวก เพื่อยกระดับสุขภาวะทางการเงินในพนักงานก่อนเกษียณของสถานศึกษาเอกชน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/279665
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบผสานวิธีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมทางการเงินเชิงบวก มุ่งยกระดับสุขภาวะทางการเงินของพนักงานก่อนเกษียณในสถานศึกษาเอกชน กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานวัย 40–59 ปี จำนวน 38 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองเข้าร่วมกิจกรรมรวมระยะเวลา 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติวัดความแปรปรวนพหุคูณวัดซ้ำแบบสองทาง และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมทางการเงินเชิงบวกสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีพฤติกรรมต่อเนื่องตลอดช่วงติดตาม ผลเชิงคุณภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรมทางการเงินเชิงบวกโดยเกิดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม เช่น เกม ให้คำปรึกษาส่วนตัวและการถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นพี่ ช่วยเสริมแรงจูงใจและตระหนักรู้ในตนเองมากขึ้น สอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรม ตามแผนและทฤษฎีปัญญาสังคม ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในกลุ่มเป้าหมายอื่นได้</p>เรวดี พานิชพลเทพ พูนพลฐาศุกร์ จันประเสริฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-192038697การพัฒนาแผนธุรกิจชุมชนและการเปรียบเทียบการจัดระดับกลุ่มความเหลื่อมล้ำในมิติเศรษฐกิจของกลุ่มผู้ประกอบการเกษตร บ้านป่าเก็ตถี่ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yru_human/article/view/278537
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจชุมชนและเปรียบเทียบการจัดระดับกลุ่มความเหลื่อมล้ำมิติเศรษฐกิจก่อนและหลังดำเนินการวิจัย ใช้กระบวนการมีส่วนร่วม 4 ขั้นตอนตามวัฏจักร PAR ได้แก่ วางแผน ลงมือปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย อาทิ เวทีประชุมแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การเก็บข้อมูลรายได้ครัวเรือน การวิเคราะห์แผนธุรกิจแบบ 9 ช่อง ซึ่งออกแบบให้สอดคล้องกับธุรกิจระดับชุมชน จากกลุ่มผู้ประกอบการเกษตรกร จำนวน 20 คน บ้านป่าเก็ตถี่ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ได้แผนธุรกิจเพื่อชุมชน จำนวน 2 แผนซึ่งเป็นแผนธุรกิจผักปลอดสารพิษ และแผนธุรกิจลำไย ที่มุ่งเน้นการขายผลผลิตผักปลอดสารพิษและลำไยขายให้กับพ่อค้าส่งและคนในชุมชน ผ่านช่องทางไลน์ และการบอกปากต่อปากสร้างความสัมพันธ์โดยมีความซื่อสัตย์กับลูกค้า มีการจัดส่งฟรี รายได้หลักมาจากการขายสินค้า ใช้วัตถุดิบจากปุ๋ยธรรมชาติ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ต้นทุนหลักคือ ค่าแรงงาน ความเหลื่อมล้ำในมิติเศรษฐกิจหลังการดำเนินการผลคือ กลุ่มที่ 1 ต่ำกว่าเส้นยากจนจำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 30 กลุ่มที่ 2 ไม่ยากจน แต่ต่ำกว่า 40% จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 25 กลุ่มที่ 3 สูงกว่า 40% แต่ต่ำกว่ามัธยฐาน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 10 กลุ่มที่ 4 สูงกว่ามัธยฐาน จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 35 สรุปได้ว่า 4 กลุ่มหลังดำเนินการผลคือกลุ่มที่ 2 ไม่ยากจนแต่ต่ำกว่า 40% จำนวนผู้มีรายได้ต่ำลดลงย้ายไปกลุ่มที่ 4 สูงกว่ามัธยฐานเพิ่มขึ้นจำนวน 1 คน</p>นุชจรี ทียะบุญวีระพันธ์ อะนันชัยธวัชธัญญารัตน์ ลิ้นฤาษีรวิปรียา จิระนันทราพรสันต์ฤทัย เจนสมบูรณ์ทิพย์วรรณ์ ทนันไชยวลัย ชัยมูลแสงหล้า สุยะราชวรวลัญช์ ปัญสุวรรณสมศักดิ์ สุต๋าจิรัฐกานดา จันทีวาสนา โยทัยเที่ยงวนิดา ปวนยา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-192025-11-1920398108