คุณสมบัติทางวากยสัมพันธ์และอรรถศาสตร์ของคำว่า “สิ” ในภาษาไทยถิ่นอีสาน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติทางวากยสัมพันธ์และทางอรรถศาสตร์ของคำว่า “สิ” ในบริบทต่างๆ เพื่อดูว่า “สิ” เป็นศึกษาประเภททางไวยากรณ์ ความหมาย ตลอดจนดูเงื่อนไขการปรากฏของ “สิ” ในบริบททางวากยสัมพันธ์ต่าง ๆ
จากการศึกษาพบว่า “สิ” มีการปรากฏในบริบททางวากยสัมพันธ์เป็น 3 หน่วยสร้าง ได้แก่
- ปรากฏหน้าคำกริยาประเภทการกระทำและคำกริยาแสดงสภาพ
- ปรากฏหน้าและหลังคำกริยาช่วยซึ่งแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ คำช่วยกริยาต้นแบบและคำช่วย
กริยาไม่ต้นแบบ คำช่วยกริยาทั้งสองประเภทสามารถแบ่งประเภทย่อยได้เป็นคำช่วยกริยาแสดงทัศนะภาวะบอกความเห็น และคำช่วยกริยาแสดงการณ์ลักษณะ
- ปรากฏระหว่างคำกริยา 2 คำ
เมื่อพิจารณาในแง่ของความหมายผู้วิจัยพบว่า คำว่า “สิ” ที่ปรากฏในทุกบริบททางวากยสัมพันธ์แสดงความหมายของสถานะเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องการไม่เกิดขึ้นจริงของเหตุการณ์ โดย “สิ” แสดงสถานะเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นจริงในบริเวณทางอรรถศาสตร์ต่างๆ ได้แก่ ความน่าจะเป็น ความเป็นไปได้ ความตั้งใจและเจตนา อนาคตกาล เหตุการณ์เงื่อนไข เหตุการณ์แสดงนิสัย ประสบการณ์ การอนุมาน วัตถุประสงค์ และการเริ่มเหตุการณ์
Article Details
เอกสารอ้างอิง
จินดารัตน์ จรัสกำจรกูล. (2536). เงื่อนไขทางอรรถศาสตร์ของการปรากฏของ จะ ระหว่างกริยาวลี. คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นววรรณ พันธุเมธา. (2527). ไวยากรณ์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์.
อภิญญา สร้อยธุหร่ำ. (2528). การศึกษาการใช้ภาษาที่แสดงเวลาอนาคตในภาษาอังกฤษและภาษาไทย. คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อุปกิตศิลปสาร. (2532). หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
Bybee, J. 1987. Modality in Grammar and Discoure. Amsterdam : John Benjamins Publishing Company.
Chung, S. and Timberlake, A. 1985. Tense and Mood. Language Typology and Syntactic Description. Cambridge University Press.
De Haan, F. Irrealis : Fact or Fiction? (Online). Available from : https://www.u.arizona.ed.u//edu.pdf.