ความเป็นมาในการใช้คานาหน้านามชายและหญิง
คำสำคัญ:
ความเป็นมาของคานาหน้านามชายหญิง ประวัติศาสตร์กฎหมายบทคัดย่อ
การใช้คำนำหน้าชื่อชายหญิงที่เป็นสามัญชนทั่วไปมีตัวอย่างการใช้ที่ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยมีทั้ง “นาย” “นาง” และ “อาแดง” คาหลังนี้เป็นคาโบราณใช้นาหน้าชื่อหญิงสามัญ ถึงสมัยอยุธยา สืบเนื่องมาจนถึงสมัยธนบุรี และรัตนโกสินทร์จากรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ ก่อนการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ โครงสร้างทางการเมืองและแนวคิดทางกฎหมายยังถือระบบศักดินาเป็นหลัก ทุกคนในสังคมต่างมีศักดินา ซึ่งกาหนดสิทธิหน้าที่และฐานะของทุกคนในสังคม ในระบบนี้การเอ่ยนามบุคคลในสังคม ตั้งแต่ชนชั้นสูงซึ่งเป็นชนชั้นปกครองลงมาจนถึงประชาชนสามัญ จึงมีคาเรียกขานกันหลากหลาย ตามหลักฐานที่มีอยู่จะพบคาว่า “นาย” นาหน้าชื่อชายสามัญ อันเป็นคาที่ใช้ประกอบราชทินนามตาแหน่งขุนนางด้วย เช่น “นายประภาษมณเทียร นายเสถียรรักษา” สาหรับหญิงสามัญมีตัวอย่างการใช้คาว่า “อาแดง” สาหรับชายหญิงที่ทาความผิดต้องโทษตามอาญาบ้านเมืองจะใช้คาว่า “อ้าย” หรือ “อี” นาหน้าชื่อ
การใช้คานาหน้าชื่อชายหญิงดังกล่าวมาแล้ว ยังไม่พบหลักฐานใดว่าเป็นการกาหนดให้ใช้ตามกฎหมาย คงเป็นการใช้กันตามแบบแผนธรรมเนียมปฏิบัติ การกาหนดเป็นกฎหมายในการใช้คานาหน้านามคนไทยเพื่อเรียกให้เป็นแบบอย่างเดียวกันเพิ่งจะปรากฏชัดเจนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงออกประกาศ “พระราชบัญญัติให้ใช้คานาหน้าชื่อชนต่าง ๆ” วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๔ จากนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชกฤษฎีกา ๒ ฉบับว่าด้วยคานาหน้าสตรี พ.ศ. ๒๔๖๐ และ ๒๔๖๔ เมื่อประกอบกับหนังสือกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ก็ถือว่ามีการกาหนดชัดเจนว่า ผู้ที่ไม่มีบรรดาศักดิ์หรือยศ ฐานันดรศักดิ์ ใช้คาว่า “นาย” “นาง” และ “นางสาว” นาหน้าชื่อ ส่วนคาอื่นที่มีผู้นิยมยกย่องใช้กันเองไม่เป็นภาษาที่ใช้ในทางราชการ มาถึงปัจจุบันยังมีประเด็นเกี่ยวกับคานาหน้านามสตรี เช่น สตรีที่แต่งงานแล้วจะใช้คาว่า “นาง” หรือ “นางสาว” นาหน้าชื่อได้ตามความสมัครใจ