อาชญากรรมคอปกเสื้อขาว: แนวทางการป้องกันและดำเนินคดีภายใต้ข้อจำกัดตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
บทคัดย่อ
อาชญากรรมคอปกเสื้อขาว (White Collar Crime) เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ตรวจสอบพบมากขึ้นในปัจจุบัน และเป็นอาชญกรรมที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง เงิ นทองและความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและบุคคลภายนอก และรวมไปถึงขวัญกำลังใจของพนักงานเป็นอย่างมาก โดยที่การกระทำความผิดประเภทนี้ มักกระทำโดยผู้บริหารระดับสูง หรือพนักงานที่อยู่ภายในองค์กรเป็นระยะเวลานาน โดยอาศัยช่องว่างที่ตนเองมีอำนาจหน้าที่ที่สามารถเข้าถึงข้อมูล ทำการแก้ไข ดัดแปลง ทำการใดๆ รวมถึงการอนุมัติให้สิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพื่อที่จะให้เกิดผลประโยชน์กับตนเอง หรือพวกพ้อง ซึ่งการทุจริตโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ (Occupational Crime) นี้มักจะใช้วิธีที่แยบยล หรือซับซ้อนเพื่อปกปิดความผิดของตน หรือทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ซึ่งตัวอย่างของอาชญากรรมคอปกเสื้อขาว ได้แก่ การตกแต่งบัญชีโดยผู้บริหารเพื่อทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงขึ้น การสมรู้ร่วมคิดระหว่างพนักงานกับคู่ค้าอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) เป็นต้น
ต้นเหตุของอาชญากรรมคอปกเสื้อขาวมีการวิจัยและวางหลักการไว้เกี่ยวกับ สามเหลี่ยมทุจริต (The Fraud Triangle) ซึ่งประกอบไปด้วยปัจจัย 3 ประการที่สำคัญ ได้แก่ ความกดดันหรือแรงจูงใจ (Motivation) โอกาสในการกระทำความผิด (Opportunity) และการมีข้ออ้างหรือเหตุผลที่ทำให้ผู้กระทำมีความรู้สึกดีขึ้น (Rationalization) ด้วยเหตุนี้ บริษัทโดยส่วนใหญ่จะมีการกำหนดนโยบายสำหรับมาตรการเชิงป้องกันและป้องปรามเพื่อมิให้เกิดเหตุทุจริตขึ้นภายในองค์กร เช่น การแจงเบาะแสการกระทําผิด (Whistle Blowing) การตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้สมัครงาน การตรวจสอบพฤติกรรมและประวัติของผู้สมัครงาน การตรวจสอบการขัดกันของผลประโยชน์ระหว่างพนักงานกับบุคคลภายนอกที่มีความสัมพันธ์กับองค์กร การสืบสวนสวนและสอบสวนพนักงานและผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง การดำเนินคดีแรงงาน คดีแพ่ง และคดีอาญา อย่างจริงจังเพื่อลดโอกาสในการกระทำความผิดลง
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้มีการอ้างอิงหลักการของ“General Data Protection Regulation” (GDPR) ซึ่งเป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปว่าด้วยมาตรการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล โดยได้นำมาประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act : PDPA) ในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งกฎหมายนี้จะควบคุมบริษัทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลในการเก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน/พนักงาน/อดีตพนักงาน/คู่ค้า และบุคคลอื่นๆ ที่บริษัทได้นำมาใช้เพื่อดำเนินการตามมาตรการเชิงป้องกันและป้องปรามเพื่อมิให้เกิดเหตุทุจริตขึ้นภายในองค์กรนี้ ด้วยเหตุดังกล่าว การรักษาสมดุลระหว่างการป้องกันและป้องปรามเหตุทุจริตภายในองค์กร และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงต้องดำเนินการต่อไปด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อมิให้เกิดคดีความฟ้องร้องกับบริษัท ซึ่งอาจรวมไปถึงการดำเนินคดีแบบกลุ่ม อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดที่กระทบกับข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากอันขัดกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล