ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ของบุคลากรโรงพยาบาลเสนา

บทคัดย่อ

การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจกับความพึงพอใจของบุคลากรต่อการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลเสนา ตำบลเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำแนกตามตัวแปร สภาพแวดล้อมการทำงาน รายได้และสวัสดิการ และความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้า และเพื่อศึกษาข้อเสนอแนะ และแนวทางในการสร้างแรงจูงใจและความพึงพอใจให้กับบุคลากรโรงพยาบาลเสนา ตำบลเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ บุคลากรโรงพยาบาลเสนา ตำบลเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้จาก การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (multi stage random sampling) จำนวนทั้งสิ้น 212 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) จากแบบสอบถามปลายเปิด สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ chi-squared test ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า ระดับเเรงจูงใจกับความพึงพอใจในการปฎิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลเสนา  พบว่า ค่าเฉลี่ยเลขคณิต กับ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่าบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลเสนา มีความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานโดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.22 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.651) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาน้อยสุดพบว่า ประเด็นการได้รับการตอบสนองความมั่นคงในปัจจัยต่างๆ ที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ เป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.37) รองลงมาได้แก่ ด้านการส่งผลให้ผลงานมีประสิทธิภาพ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.22) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่ ด้านการกระตุ้นในการปฏิบัติงานทำให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติงานให้มีความสุข (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.07) และในส่วนของการทดสอบสมมติฐาน เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเเรงจูงใจกับความพึงพอใจในการปฎิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลเสนา พบว่าในส่วนของการทดสอบสมมติฐาน สรุปผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย (สมมติฐานหลัก : H๐) ด้วยสถิติ Chi-Square พบว่า สมมติฐานหลักทั้ง 3 สมติฐานนั้น ไม่สอดคล้องกับผลการทดสอบสมมติฐาน คือ ได้รับการปฏิเสธ อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05