การบริหารจัดการท่องเที่ยวท้องถิ่น: Retro-Retro Market ตลาดน้ำเมืองลิกอร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
Main Article Content
บทคัดย่อ
ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดวัตถุในการศึกษาประสงค์วิจัย ในประเด็นการบริหารจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวของท้องถิ่น ประกอบด้วย 1. การแผนแหล่งท่องเที่ยว 1.1) นโยบายการท่องเที่ยวเมืองลิกอร์ 1.2) แผนการใช้ที่ดิน 1.3) การจัดโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคเพื่อการท่องเที่ยว ได้แก่ ระบบน้ำประปา ระบบไฟฟ้า การจัดการขยะและของเสีย 2. การตลาด การทำยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์ 3. การพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ 3.1) การออกแบบผลิตภัณฑ์ 3.2) การวางแผนสื่อความหมาย วิธีการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือ การศึกษาข้อมูลเอกสาร การสังเกตการณ์ และการสัมภาษณ์โดยใช้เทคนิคสโนบอล ผลการศึกษาวิจัย พบว่า จังหวัดได้มีการดำเนินการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ตลาดน้ำเมืองลิกอร์ ซึ่งเป็นการจัดการตลาดน้ำ Retro-Retro Market ลักษณะการวางแผน ได้แก่ การกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว การวางแผนการใช้ที่ดิน ส่วนการดำเนินงานอื่น ได้แก่ การทำการตลาด การพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ เทศบาลนครได้ดำเนินการ คือ การปรับแต่งภูมิทัศน์ของเมือง การบริหารจัดการต่างๆ ได้แก่ การจัดการอาหารและเครื่องดื่ม ตลาดสุขภาพซึ่งขาดอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น
Article Details
เอกสารอ้างอิง
[2] De Campos, J. (1959). Early Portuguese Accounts of Thailand. Journal of the Siam Society, 7 (Relationship with Portugal, Holland, and the Vatican).
[3] Jarumanee, Nikom. (1993). Tourism and Travel Management. Bangkok: O. S. Press.
[4] Nakhon Si Thammarat City Municipality. (2015). The Riverside Market Town of Nakhon Si Thammarat. Retrieved February 13, 2015, from https://www.nakhoncity.org/news_ad3/news_ad3/show_detail.php?sId=207.
[5] Pimonsompong, Chalongsrl. (2003). Tourism Planning and Marketing Development. 4th Edition. Bangkok: Kasetsart University Press.
[6] Suwannawut, Nantaporn. et al. (2010). Retro Marketing-Historically Restored at First. For Quality Magazine, 17(151), 22-25.
[7] Tourism Authority of Thailand. (2011). The Planned Tour. (Reproduce).
[8] Wattana, Chitinout. (2005). A Study to Determine the Identity of the Phitsanulok, Culture Street (Walking Street). Journal of Business, Economics and Communications, 7(2), 71-80.