การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์จากฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 4 จังหวัด ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง เพื่อขยายการรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ

Main Article Content

วาสนา โล่ห์สุวรรณ

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการรับรู้ทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวในการตัดสินใจมาท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 2) เพื่อศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดท่องเที่ยวที่ชุมชนใช้ในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 3) เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจากฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์ และ 4) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจากฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 4 จังหวัด ใช้รูปแบบการวิจัยแบบเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 400 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบวิธีตามสะดวกเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนจำนวน 30 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และการประชุมกลุ่มย่อย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา


ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า 1) นักท่องเที่ยวมีระดับการรับรู้ทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอยู่ในระดับปานกลาง  มีพฤติกรรมการท่องเที่ยวลักษณะมาด้วยตนเองโดยรถยนต์ส่วนตัวไปเช้าและกลับเย็นใช้เวลาไม่เกิน 2 วัน เดินทาง 1 ถึง 2 ครั้งต่อปีผู้ร่วมเดินทาง 2 ถึง 5 คน เป้าหมายเพื่อการพักผ่อนมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 5,000 บาท ชอบท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ได้ข้อมูลการท่องเที่ยวจากเพื่อนหรือญาติพี่น้อง และมีระดับความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในด้านบุคลากรและกระบวนการให้บริการ ด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว ด้านการตลาดท่องเที่ยว และด้านกิจกรรมในการท่องเที่ยวตามลำดับ 2) กลยุทธ์ทางการตลาดท่องเที่ยวที่ชุมชนนำมาใช้ในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม คือ กลยุทธ์ด้านแหล่งท่องเที่ยวมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านความร่วมมือ ด้านค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ด้านการสื่อสารการท่องเที่ยว และด้านความสะดวกในการท่องเที่ยว 3) สภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจากฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์พบจุดแข็ง มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ มีแหล่งเรียนรู้และเหมาะกับการศึกษาค้นคว้า และมีข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน พบจุดอ่อน การขาดงบประมาณ ขาดบุคลากรให้ความรู้ ขาดความพร้อมในการจัดการท่องเที่ยว ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวการตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โอกาสที่พบ มีนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีรูปแบบการท่องเที่ยวหลากหลาย อุปสรรคที่พบ ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกในการรองรับการท่องเที่ยว และ 4) แนวทางการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 4 จังหวัด คือ ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง (1) กลยุทธ์การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวีและสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (2) กลยุทธ์ด้านความร่วมมือ (3) กลยุทธ์การสื่อสารการท่องเที่ยว (4) กลยุทธ์ด้านค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
โล่ห์สุวรรณ ว. (2025). การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์จากฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 4 จังหวัด ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง เพื่อขยายการรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ. วารสารการบริการและการท่องเที่ยวไทย, 20(2), 32–47. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/tourismtaat/article/view/264419
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Ang Thong Provincial Office. (2018). Ang Thong Province Development Plan 2018–2022. Ang Thong.

Boonkoum, W. (2017). Motivations of Thai Tourists in Visiting Important Temples in Phetchaburi and Their Perceptions Affeccting the Revisitation. Dhurakij Pundit University.

Boonprasom, N., Chumnanchar, B., Suriya, S., Reangsuwan, A., Weanrawee, P. & Chupradit, W. (2021). Motivations and Perceptions on Cultural Tourism of Thai Tourists Affecting Revisit Intention: Case Study of Famous Temples in Samutprakarn Province. APHEIT Journal, 27(1), 113–127.

Chanthaworn, C. (1999). Advertising and Promotion. Bansomdejchaopraya Rajabhat University.

Coolican, H. (2004). Research Methods and Statistics in Psychology. Hodder Education.

Department of Tourism (DOT). (2019). Travel & Tourism Competitiveness Report 2019. Bangkok.

Heedjun, P., Kaewsan, P., Charoonnimmarn, T., Khumsamart, S., Pansumrit, K., Sura, J., Petchroj, L., Sirisathit, W. & Sangthong, C. (n.d.). Roi–Et Province Creative Cultural Tourism Development Strategy. Mahasarakham University.

Jittangwattana, B. (2005). Sustainable Tourism Development. Press and Design.

Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607–610.

Ministry of Tourism & Sports (MOTS). (2020). Tourism Statistics. http://www.tourism.go.th/cover.php

National Statistical Office (NSO). (2017). Survey of Travel Behavior of Thai People 2017. NSO.

Phumiworramunee, S. (2018). An Approach to Promote Cultural Tourism of Nakhon Phanom Province. University of Phayao.

Pimonsompong, C. (2017). Tourism Research: Principles for Practice in Social Reflections. Business Administration Journal Economics and Communication, 12(1), 1–5.

Puaksanit, S. (2020). Behavior of Thai Tourists in Cultural Tourism Chachoengsao Province. Silpakorn University.

Rovinelli, R. J. & Hambleton, R. K. (1977). On the Use of Content Specialists in the Assessment of Criterion–Referenced Test Item Validity. Tijdschrift voor Onderwijsresearch, 2(2), 49–60.

Srisa–ard, B. (2002). Basic Research. Suweeriyasan.

Thampramuan, P. & Tekhanmag, K. (2010). Strategies and Marketing Plans for Promotion Cultural Tourism by Community Participation in Lop Buri Province. Office of the National Culture Commission.

Tourism Authority of Thailand (TAT). (2018). Guidelines for Accommodation Management to Experience Rural Culture. TAT.

United Nations World Tourism Organization (UNWTO). (2015). Tourism Highlight. https://www.e-unwto.org/doi/pdf/10.18111/9789284416899