การบริหารหนี้อย่างยั่งยืนด้วยแนวคิด ESG

บทคัดย่อ

ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยพบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภาวะโรคระบาด ผลกระทบจากสงคราม ภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งไทยจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงจากเงินเฟ้อและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ซึ่งจากผลการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2567 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ  99.7 มีภาระหนี้สิน และอีก ร้อยละ 0.3 ไม่มีภาระหนี้สิน โดยหนี้สินส่วนใหญ่คือ หนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือ หนี้ซื้อยานพาหนะ หนี้ส่วนบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค หนี้ที่อยู่อาศัย หนี้เพื่อการประกอบธุรกิจและหนี้การศึกษา  ซึ่งหน่วยงานที่มีการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการหนี้สินในประเทศไทย มีเป็นจำนวนมากที่พร้อมให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร บริษัทสินเชื่อขนาดกลาง ขนาดย่อม ไปจนถึงบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ร่วมอยู่ในกระบวนการการบริหารหนี้สินของภาคประชาชน การบริหารหนี้ของประชาชนให้ยั่งยืน จึงต้องมีหลักคิดร่วมกันทั้งสถาบันการเงินและลูกหนี้ ซึ่งการบริหารหนี้อย่างยั่งยืนด้วยแนวคิด ESG มี 3 องค์ประกอบ เป็นองค์ประกอบหลักในการบริหารหนี้ กล่าวคือ สถาบันการเงิน (ธนาคาร ไฟแนนซ์ ไมโครไฟแนนซ์) ให้บริการอย่างเป็นธรรม ตั้งแต่กระบวนการปล่อยสินเชื่อ จนถึงประบวนการประนอมหนี้   ในส่วนของลูกหนี้เอง ต้องมีวินัยในการใช้จ่าย มีการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ สุดท้ายคือ แนวคิด ESG ที่กล่าวถึงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance : ESG) ซึ่งทั้งสถาบันที่ให้บริการทางการเงินและลูกหนี้ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน