การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง อาหารและการย่อยอาหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่าง การสอนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง อาหารและการย่อยอาหาร กับการสอนแบบปกติ

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ  (1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง อาหารและการย่อยอาหารที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80  (2)  เพื่อเปรียบเทียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง อาหารและการย่อยอาหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างการสอนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง อาหารและการย่อยอาหารกับการสอนแบบปกติ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนวัดม่วง สำนักงานเขตบางแค  กรุงเทพมหานคร จำนวน 132 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายด้วยวิธีจับสลาก จำนวน 2 ห้องเรียน แบ่งเป็น (1) กลุ่มทดลองที่สอนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง อาหารและการย่อยอาหาร ได้แก่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 33 คน  (2) กลุ่มควบคุมที่สอนโดยใช้การสอนมแบบปกติ ได้แก่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 จำนวน 33 คน  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1)  หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง อาหารและการย่อยอาหาร วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  (2) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาหารและการย่อยอาหาร วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6   (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อาหารและการย่อยอาหาร เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อที่มีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.938  โดยใช้แบบแผนการวิจัยเชิงทดลองที่เปรียบเทียบ 2 กลุ่มและมีการทดผลก่อนเรียนและหลังเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)  และการทดสอบค่า ทีแบบกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระต่อกัน  ผลการวิจัย พบว่า 1. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง อาหารและการย่อยอาหาร วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 79.29/80.11 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่สอนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่อง อาหารและการย่อยอาหารสูงกว่าการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05