การเปิดรับข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน

ผู้แต่ง

  • สมาน งามสนิท คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

คำสำคัญ:

การเปิดรับรู้ข้อมูลข่าวสาร, การรักษาเบญจศีล, พุทธศาสนิกชน

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน เพื่อเปรียบเทียบการเปิดรับข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน และเพื่อศึกษาการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พุทธศาสนิกชน จำนวน  150 คน ซึ่งทำการสุ่มจากประชากร โดยวิธีแบบบังเอิญ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าความถี่และค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบค่าที  สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และสถิติทดสอบ ไค – สแควร์ ผลการวิจัยพบว่า  1.พฤติกรรมการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า  อยู่ในระดับมาก 4 ข้อ และอยู่ในระดับปานกลาง 1 ข้อ โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ได้แก่  ศีลข้อที่  3 เว้นจากการประพฤติผิดในกาม รองลงมาได้แก่ ศีลข้อที่  2  เว้นจากการลักทรัพย์ ศีลข้อที่ 1 เว้นจากการฆ่าสัตว์ และศีลข้อที่  5  เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ตามลำดับ ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง คือ ศีลข้อที่ 4 เว้นจากการพูดเท็จ  2.ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคลที่ต้องการรับรู้  ข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน จำแนกตามเพศ โดยการทดสอบค่าที (t-test) โดยภาพรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อก็พบว่าการรักษาศีลข้อที่  3 เว้นจากการประพฤติผิดในกามระหว่างชายและหญิงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิเคราะห์การรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชนโดยการทดสอบไคสแควร์   สรุปได้ดังนี้   1) ด้านการรับรู้จากสื่อบุคคล พบว่า ไม่มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05  2) ด้านการรับจากสื่อชุมชน พบว่า มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ด้านการรับจากสื่อมวลชน พบว่า ไม่มีผลต่อการรักษาเบญจศีลของพุทธศาสนิกชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2022-04-21

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย (Research article)