เกี่ยวกับวารสาร

วารสารศิลปศาสตร์วิชาการและวิจัยเป็นวารสารในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ดำเนินการเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ และเป็นสื่อการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ทางวิชาด้านศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ สาขาภาษา ภาษาศาสตร์ วรรณคดี สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยา ศาสนา ปรัชญา การท่องเที่ยว และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของคณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป โดยกำหนดออกวารสารปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับแรกตีพิมพ์เผยแพร่ช่วงเดือน มกราคม – มิถุนายน ฉบับที่สอง ตีพิมพ์เผยแพร่ช่วงเดือน กรกฎาคม – ธันวาคม

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานด้านศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป
  2. เพื่อเป็นสื่อการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ทางวิชาการด้านศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ขอบเขตเนื้อหา

วารสารศิลปศาสตร์วิชาการและวิจัยรับตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ สาขาภาษาและภาษาศาสตร์ วรรณคดี รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยา ศาสนา ปรัชญา การท่องเที่ยว 

ข้อกำหนดของบทความที่ตีพิมพ์

วารสารศิลปศาสตร์วิชาการและวิจัยรับบทความที่ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเท่านั้น บทความที่จะได้รับการพิจารณาตีพิมพ์จะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) ดังนี้

1. ผู้เขียนลงทะเบียนเพื่อใช้งานระบบ Thaijo 2.0 เพื่อดำเนินการ ส่งบทความ ทางออนไลน์ผ่านระบบ ที่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/larhcu/about/submissions
2. เมื่อกองบรรณาธิการได้รับบทความเรียบร้อยแล้ว กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้เขียนทราบโดยทันที
3. กองบรรณาธิการจะดำเนินการตรวจสอบบทความที่ได้รับว่าอยู่ในขอบเขตเนื้อหาวารสารหรือไม่ รวมถึงคุณภาพทางวิชาการและประโยชน์ ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติในเบื้องต้น และจะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้เขียนทราบภายใน 15 วัน
4. ถ้าผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ ขอให้ผู้เขียนชำระเงินค่าตีพิมพ์ ผ่านทาง บัญชีเลขที่ 168-2-00999-7 ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และกรุณาส่งหลักฐานการโอนเงินกลับมาทางอีเมลเพื่อเป็นหลักฐานด้วย    
 5. หลังจากกองบรรณาธิการได้รับหลักฐานการชำระค่าตีพิมพ์บทความแล้ว กองบรรณาธิการจะดำเนินการส่งบทความเพื่อกลั่นกรองต่อไป โดยจะส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 2 ท่าน ประเมินคุณภาพของบทความว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะลงตีพิมพ์หรือไม่ ซึ่งกระบวนการกลั่นกรองนี้ทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลซึ่งกันและกัน (Double-blind peer review) โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 45 วัน
 6. เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความแล้ว กองบรรณาธิการจะตัดสินการพิจารณาโดยอิงตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิว่าบทความนั้นๆ ควรนำลงตีพิมพ์ หรือควรส่งให้ผู้เขียนแก้ไขก่อนส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินอีกครั้ง หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ และจะแจ้งผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิให้ผู้เขียนรับทราบ ภายในระยะเวลา 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับผลการพิจารณา โดยผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวถือเป็นที่สิ้นสุด

บทความใน “วารสารศิลปศาสตร์วิชาการและวิจัย” เป็นทัศนะของผู้เขียนโดยเฉพาะ กองบรรณาธิการไม่มีส่วนในความคิดเห็นในข้อเขียนเหล่านั้น

ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์
วารสารศิลปศาสตร์วิชาการและวิจัย แบ่งเนื้อหาของวารสารออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. รายงานการวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ (วิทยานิพนธ์ต้องไม่เกิน 1 ปี) เรื่องละประมาณ 14 หน้ากระดาษขนาด A4
2. บทความทางวิชาการ เรื่องละประมาณ 14 หน้ากระดาษขนาด A4

คำแนะนำในการเตรียมบทความ (Author Guidelines)
คำแนะนำในการเขียนอ้างอิง(Citation) และ รายการอ้างอิง (Reference) แบบ APA 6
คำแนะนำสำหรับผู้ส่งบทความในระบบ (Submissions)
คำแนะนำสำหรับผู้ส่งบทความที่เป็นสมาชิกในระบบ thaiJo อยู่แล้ว

ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์
แบบฟอร์มเกี่ยวกับบทความ

Publication Ethics
บทบาทและหน้าที่ของผู้นิพนธ์ (Duties of Authors)
1. ผู้นิพนธ์ต้องส่งแบบเสนอบทความเพื่อเป็นการรับรองว่าผลงานที่ได้ส่งมายังกองบรรณาธิการนั้น มีการจัดทำขึ้นใหม่ และไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน สำหรับผลงานที่มีความเกี่ยวข้องกับการศึกษาในคนหรือสัตว์ทดลองจะต้องมีการระบุเลขจริยธรรมงานวิจัยให้ครบถ้วนและถูกต้อง
2. ผู้นิพนธ์ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในบทความทุกคน จะต้องมีส่วนร่วมในการทำวิจัยจริงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงการอ้างอิงชื่อ ทั้งนี้ผู้นิพนธ์อาจเตรียมหลักฐานการแบ่งสัดส่วนงานวิจัยในกรณีที่กองบรรณาธิการต้องการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวนี้
3. ผู้นิพนธ์ต้องรายงานข้อมูลเท็จจริงตามรูปแบบหัวข้อที่กำหนด ทั้งในส่วนบทนำ วิธีดำเนินการวิจัย และผลการวิจัยที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทำวิจัยอย่างแท้จริง รวมทั้งการอภิปรายและสรุปผลการวิจัย นอกจากนี้จะต้องมีการระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนการวิจัยให้ถูกต้องและครบถ้วน
4. ผู้นิพนธ์ต้องอ้างอิงผลงานของผู้อื่นอย่างถูกต้องและครบถ้วน เมื่อมีการนำผลงานเหล่านั้นมาใช้ในผลงานของตนเอง
5. ข้อความที่ปรากฏในบทความและองค์ประกอบทั้งหมดของบทความนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์แต่เพียงผู้เดียว
6. ผู้นิพนธ์ต้องเขียนบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ในคำแนะนำการเตรียมต้นฉบับบทความอย่างเคร่งครัด
7. ในกรณีที่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้นิพนธ์จะต้องมีการระบุผลประโยชน์ทับซ้อนดังกล่าวอย่างชัดเจน
8. ข้อพิจารณาหรือข้อสรุปจากการตัดสินของกองบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

บทบาทและหน้าที่ของบรรณาธิการวารสาร (Duties of Editors)
1. บรรณาธิการวารสารมีระบบการตรวจสอบบทความที่ส่งมาในเว็บไซต์ของวารสาร และไม่รับตีพิมพ์บทความที่พบว่า เคยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารแห่งอื่นมาแล้ว
2. บรรณาธิการวารสารมีระบบการตรวจสอบทางด้านการคัดลอกผลงานของผู้อื่น (Plagiarism) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าบทความที่จะตีพิมพ์ไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่น ทั้งนี้หากมีการตรวจพบ บรรณาธิการวารสารจะหยุดดำเนินการ และติดต่อผู้นิพนธ์หลักเพื่อให้มีการชี้แจงประกอบการพิจารณาในการตอบรับหรือการปฏิเสธการตีพิมพ์บทความ
3. บรรณาธิการวารสารจัดตั้งผู้ตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบของบทความ และผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์วิชาที่เกี่ยวข้องกับบทความที่ส่งเข้ามาในระบบเว็บไซต์ของวารสาร เพื่อเป็นการประเมินบทความขั้นต้น และประกอบการพิจารณาในการตอบรับหรือการปฏิเสธการตีพิมพ์บทความตามระยะเวลาดำเนินการของกองบรรณาธิการ
4. บรรณาธิการวารสารพิจารณาคุณภาพของบทความ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร โดยคัดเลือกบทความที่ผ่านการประเมินโดยผู้ประเมินบทความที่มีความเชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ รวมทั้งความสอดคล้องของเนื้อหาบทความกับนโยบายของวารสาร
5. บรรณาธิการวารสารจะตัดสินโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานคำแนะนำจากผู้ประเมินบทความ และพิจารณาความถูกต้องเหมาะสมชัดเจนในหลักฐานสนับสนุนต่าง ๆ จากผู้นิพนธ์
ุ6. บรรณาธิการวารสารจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความในช่วงเวลาของการประเมินบทความยังไม่แล้วเสร็จ
7. บรรณาธิการวารสารจะต้องไม่ปรากฎว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ และบุคคลอื่น ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
8. ข้อพิจารณาหรือข้อสรุปจากการตัดสินของกองบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

บทบาทและหน้าที่ของผู้ประเมินบทความ (Duties of Reviewers)
1. ผู้ประเมินบทความจะต้องประเมินบทความในศาสตร์สาขาที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญ และมีหลักฐานที่เชื่อถือได้จากผลงานตีพิมพ์และผลงานวิชาการต่าง ๆ ของผู้ประเมิน โดยปราศจากความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลมารองรับมาร่วมเป็นเกณฑ์ในการประเมินบทความ
2. ผู้ประเมินบทความจะต้องพิจารณาคุณภาพของบทความจากความสำคัญ ความใหม่ และความชัดเจนของเนื้อหาของบทความ รวมทั้งคุณภาพของการวิเคราะห์และความเข้มข้นของผลงาน อันสอดคล้องตามหลักกระบวนการทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีในสาขาวิชาต่าง ๆ ตามนโยบายของวารสารที่กำหนด ทั้งนี้บทความของผู้นิพนธ์จะมีผู้ประเมินอย่างน้อย 2 ท่าน เพื่อการพิจารณาบทความ
3. ผู้ประเมินบทความจะต้องระบุผลงานวิจัยสำคัญ ๆ และมีความสอดคล้องกับบทความที่กำลังดำเนินการประเมิน แต่ผู้นิพนธ์ไม่ได้อ้างถึง เข้าไปในการประเมินบทความด้วย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปรับแก้ไขและพัฒนาคุณภาพของบทความ
4. ผู้ประเมินบทความมีบทบาทต่อการตรวจสอบความซ้าซ้อนของผลงานจากผู้นิพนธ์ ทั้งนี้หากพบความซ้าซ้อนให้แจ้งข้อมูลที่ตรวจพบมายังบรรณาธิการวารสาร
5. ผู้ประเมินบทความจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของบทความในช่วงเวลาของการประเมินบทความยังไม่แล้วเสร็จ
6. ผู้ประเมินบทความจะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ เช่น การรู้จักกันเป็นการส่วนตัว เป็นผู้ร่วมโครงการ ผู้ร่วมงาน อันพึงทำให้ขาดอิสระในการพิจารณาบทความ โดยให้ทำการแจ้งบรรณาธิการและขอปฏิเสธการประเมิน
7. ข้อพิจารณาหรือข้อสรุปจากการตัดสินของกองบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด