พฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ ในการอุปการะเลี้ยงดูอบรม สั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล พ.ศ. 2549
คำสำคัญ:
พฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็ก, มาตรฐานขั้นต่ำในการอุปการะเลี้ยงดู, ผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมบทคัดย่อ
การศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎกระทรวงกำหนด มาตรฐานขั้นต่ำในการอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล พ.ศ. 2549 มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎกระทรวงกำหนด มาตรฐานขั้นต่ำในการอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล พ.ศ. 2549 ปัญหา อุปสรรคต่อการเลี้ยงดูเด็กของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม และความต้องการบริการเกี่ยวกับการรับเด็ก เป็นบุตรบุญธรรมของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ ผู้ขอรับเด็ก เป็นบุตรบุญธรรมจะต้องได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมกับกลุ่มการรับเด็ก เป็นบุตรบุญธรรมในประเทศของศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม กรุงเทพมหานคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ได้แก่ เดือนตุลาคม 2558 – กันยายน 2559 ด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ มีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 199 ครอบครัว ทั้งนี้ ได้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เพื่อเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยสามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้ ผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการ อุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล พ.ศ.2549 อยู่ในระดับมากที่สุด มีปัญหา อุปสรรคต่อการเลี้ยงดูเด็กของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมในระดับน้อยที่สุด และผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมี ความต้องการบริการเกี่ยวกับการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมในระดับน้อย โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญดังนี้ ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมควรมีการสนับสนุนและส่งเสริม การจัดกิจกรรมเครือข่ายครอบครัว บุญธรรมมากขึ้น และควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนกระบวนการทำงาน ช่วยเหลือครอบครัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและสอดรับต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีประสิทธิภาพ
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กรมกิจการเด็กและเยาวชน, ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม. (2558). รายงานประจำปี 2558. กรุงเทพฯ : กรมกิจการเด็กและเยาวชน.
กนกฐินี พันภักดี. (2556). การศึกษาความสัมพันธ์ในครอบครัวบุญธรรม : กรณีศึกษาครอบครัวบุญธรรมไทยที่รับอุปการะบุตรบุญธรรม อายุระหว่าง 3-8 ปี จากสถานสงเคราะห์เด็กบ้านแคนทอง จังหวัดขอนแก่น. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะศึกษาศาสตร์, สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการให้คำปรึกษา.
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2557). รวมกฎหมายในภารกิจกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.
ระพีพรรณ คำหอม. (2557). สวัสดิการสังคมกับสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
วิภาดา แสงนิมิตรชัยกุล. (2552). พฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็ก ปัญหาสุขภาพของทารก และความต้องการพยาบาลของผู้ดูแลเด็กทารก. วารสารสภาการพยาบาล, 24(1), 88-98.
ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม. (2558). พ่อแม่บุญธรรมควรจะทำอย่างไรบ้าง. เอกสารประกอบโครงการอบรมสัมมนาเตรียมความพร้อมครอบครัวบุญธรรม. กรุงเทพฯ : ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม.
สุธินี พบลาภ. (2554). คุณสมบัติที่เหมาะสมของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมในประเทศไทย : ศึกษาเฉพาะกรณีผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมภายในประเทศ. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, สาขาวิชาการบริหารงานยุติธรรม.
สุริยา ชินะกาญจน์. (2551). มาตรการทางกฎหมายในการรับบุตรบุญธรรมแบบสมบูรณ์. (วิทยานิพนธ์ปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์, สาขาวิชานิติศาสตร์.
อรุณ แสงแก้ว. (2550). พฤติกรรมการดูแลเด็กเล็กของผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก. (วิทยานิพนธ์ศิลปะศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร, ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว, สาขาวิชาจิตวิทยาชุมชน.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมภิวัฒน์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
