การติดตามและประเมินผลโครงการเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวล
คำสำคัญ:
โครงการเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวล, การติดตามและประเมินผลบทคัดย่อ
การติดตามและประเมินผลโครงการเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวล มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เพื่อติดตามประเมินผลโครงการเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวล ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ประจำปีงบประมาณ 2562 เพื่อนำข้อมูลมาประมวลวิเคราะห์และสะท้อนกลับอย่างเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถรับรู้สถานการณ์ที่เป็นจริงด้านปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จ และ/หรือความไม่สำเร็จของโครงการ และเพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะการขับเคลื่อนโครงการเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวล แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปรับปรุง พัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การติดตามและประเมินผลใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการคนพิการจังหวัด เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการในตำบลที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตำบลนำร่องของโครงการเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวล และการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านคนพิการในตำบลนำร่อง
ผลการติดตาม พบว่า ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดนำร่อง 8 จังหวัด คือ เชียงใหม่ พิษณุโลก นนทบุรึ ชลบุรี ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และกระบี่ มีบทบาทในการเป็นผู้ประสานงานให้คนพิการในจังหวัดเข้าถึงสิทธิ์ทั้งด้านการแพทย์ การศึกษา อาชีพ การจ้างงาน และบริการสวัสดิการทางสังคมตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด้านคนพิการมีความใส่ใจคนพิการในพื้นที่มาก มีการประสานงาน และมอบหมายให้อาสาสมัครสาธารณะสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ดูแลคนพิการอย่างสม่ำเสมอ แต่ในด้านการจ้างงาน และการอนุมัติเงินกู้ให้คนพิการ บางจังหวัดมีสถิติลดลง
ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการควรมีนโยบายสนับสนุนจังหวัดนำร่องทั้ง 8 จังหวัดให้เกิดรูปธรรมของการเป็นเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวลให้ชัดเจน โดยเฉพาะการจัดอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ 5 ด้าน ได้แก่ ทางลาด ที่จอดรถ ห้องน้ำ ป้ายสัญลักษณ์ และการให้บริการข้อมูลข่าวสารแก่คนพิการ ควรมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลของทุกจังหวัดให้สามารถนำข้อมูลคนพิการรายบุคคลไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของคนพิการในระดับจังหวัดและระดับตำบล โดยการการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายในและภายนอกจังหวัดในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการอย่างเป็นรูปธรรม ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรคนพิการมีความเข้มแข็ง และผ่านมาตรฐานได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้องค์กรคนพิการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรสำหรับคนพิการและคนทั้งมวลทั้งในระดับตำบลและระดับจังหวัดได้มากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ. (2550, 18 กันยายน). พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556. สืบค้น 20 สิงหาคม 2562, จาก http://dep.go.th/Content/View/4406/1
Cronbach, Lee J. (1973). Dictionary of education. New York: McGraw-Hill Book Co,.
Donald E. Chambers, Kenneth R. Wedel, and Mary K. Rodwell.. (1992). Evaluating Social Programs. Boston: Allyn and Bacon.
Dunn, W.N. (1981). Public Policy Analysis: An Introduction. Englewood Cliffs, NJ: Prentice- Hall, Inc.
Provus.M. (1971). Discrepancy Evaluation for Education Program Improvement and Assessment. Berkeley. CA. McCutchan.
Scriven, M. (1973). The Methodology of Evaluation AERA Monograph Series in Curriculum Evaluation. No.1 Chicago: Rand Menially.
Stake, Robert E. (2004). Standards-Based & Responsive Evaluation. Thousand Oaks: Sage Publications.
Stufflebeam, D.L. (2003). The CIPP model for evaluation. In D. L. Stufflebeam & T. Kellaghan (Eds.), The international handbook of educational evaluation (Chapter 2). Boston, MA: Kluwer Academic Publishers.
Taba, H. (1962). Curriculum Development Theory and Practice. New York: Harcourt, Brace.
Tyler, Ralph W. (1949). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago: The University of Chicago Press.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมภิวัฒน์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
