ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการออมของผู้ต้องขัง : ศึกษากรณีผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครสวรรค์
คำสำคัญ:
ผู้ต้องขัง, ความต้องการออม, ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการออมบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความเป็นมา และสถานภาพของผู้ต้องขัง 2) เพื่อศึกษานโยบายและมาตรการส่งเสริมการออม 3) เพื่อศึกษาระดับความต้องการออมของผู้ต้องขัง 4) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการออมของผู้ต้องขัง 5) เพื่อให้ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงและพัฒนา “โครงการออมเพื่อชีวิตใหม่” และ “โครงการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)” กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครสวรรค์ที่เข้าร่วม “โครงการออมเพื่อชีวิตใหม่” หรือ “โครงการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)” รวม 258 คน
ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ระดับการศึกษามัธยมศึกษา สถานภาพโสด มีบุตร นับถือศาสนาพุทธ ไม่มีรายได้ที่มาจากตัวเอง มีรายได้ที่มาจากครอบครัว 3,001 บาทขึ้นไปต่อเดือน ถูกกำหนดโทษมากกว่า 3 ปีขึ้นไป – 5 ปี และมีฐานความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2) ผู้ต้องขังเห็นด้วยต่อนโยบายและมาตรการ หลักเกณฑ์และขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการออมเพื่อชีวิตใหม่ และโครงการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และการสนับสนุนทางสังคมของเรือนจำกลางนครสวรรค์ อยู่ในระดับมาก 3) ผู้ต้องขังมีความต้องการออมเงินอยู่ในระดับมาก และต้องการออมเงินในโครงการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) มากกว่าโครงการออมเพื่อชีวิตใหม่ 4) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการออมของผู้ต้องขัง ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ศาสนา รายได้ที่มาจากครอบครัว ฐานความผิด ประเภทการออม แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ความเห็นต่อหลักเกณฑ์และขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และการสนับสนุนทางสังคมของเรือนจำกลางนครสวรรค์ 5) เรือนจำกลางนครสวรรค์ต้องกำกับ ติดตาม และประเมินผลนโยบายและมาตรการส่งเสริมการออม ปลูกฝังค่านิยมการออมและสร้างวินัยจากการออมเงินให้แก่ผู้ต้องขัง รวมทั้งปรับปรุง และพัฒนาแผนการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัวผู้ต้องขัง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีภายหลังการพ้นโทษ
เอกสารอ้างอิง
เกษมสันต์ ดวงกลาง และสุวิชชา ปัทมจิ. (2550). ความต้องการสวัสดิการของผู้ต้องขังในเรือนจำกลางคลองเปรม. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
ไกรวิชญ์ ประชุมพันธ์, ธนสุวิทย์ ทับหิรัญรักษ์ และสุคนธ์ เครือน้ำคำ. (2561). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการออมของผู้บริโภคเพื่อใช้จ่ายในอนาคตของประชาชน ในเขตกรุงเทพมหานคร. วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต, 14(2): 313-330.
จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์. (2556). จิตวิทยาทั่วไป. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธรภัทร วงอภัย. (2560). การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยสำหรับผู้ต้องขังที่มีแนวโน้มกระทำผิดซ้ำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยรังสิต.
นคร ศิริอนันต์เจริญ. (2557). อภินิหารเงินออม: วิธีเก็บเงินไปท่องเที่ยว. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 จาก http://pajareep.blogspot.com/2014/01/blog-post_25.html
บุญรุ่ง จันทร์นาค. (2554). การออม. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 จาก https://www.sites.google.com/site/ boonrung02/home/hnwy-thi-3-kar-xxm
ยศยง จันทรวงศา. (2558). การสนับสนุนทางสังคม ความเหมาะสมกันระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อมและความผูกพันในงาน: กรณีศึกษาพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบนสายการบินแห่งหนึ่ง. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ศตวรรษ ท่าช้าง. (2554). แบบแผนการออมของพนักงานสถาบันการเงินในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ และกิริยา กุลกลการ. (2562). ผู้พ้นโทษไร้สิทธิประกอบอาชีพ. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 จาก https://tdri.or.th/2019/02/career-for-penalty/
สุดารัตน์ กาญจกานนท์ และวิทยา จิตนุพงศ์. (2559). การจัดการใช้ชีวิตของผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงสงขลา. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 จาก http://www.islocal.ru.ac.th/images/ispdf/is59/sudarat.pdf
อัจฉรียา ชูตินันทน์. (2552). กฎหมายเกี่ยวกับคดีเด็ก เยาวชน และคดีครอบครัว. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: วิญญูชน.
Boeree, C. G. (2006). Personality Theories: Hans Eysenck and Others. Retrieved January 20, 2020, from http://www.ship.edu/%7Ecgboeree/perscontents.html
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมภิวัฒน์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
