การส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ขององค์กรสาธารณประโยชน์ในกรุงเทพมหานคร1
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ ปัญหาอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ และแนวทางส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ขององค์กรสาธารณประโยชน์ในกรุงเทพมหานคร
ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เป็นการศึกษาวิจัยเชิงผสานวิธี (Mixed Method) ประชากรที่ศึกษากลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารหรือกรรมการขององค์กรสาธารณประโยชน์ในกรุงเทพมหานครที่ได้รับการรับรองตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมฯ จำนวน 211 คน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างตัวแปรด้วยการหาค่า T-test และ F-test/One – way ANOVA เมื่อพบความต่างจะหาความต่างรายคู่ด้วยวิธีทดสอบเชฟเฟ่ (Scheffe) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษามีดังนี้
ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นมูลนิธิ มีการดำเนินงานมา 11 – 20 ปี มีการจดรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ 11 – 15 ปี และเมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า องค์กรสาธารณประโยชน์มีการจัดสวัสดิการให้แก่กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก (แรกเกิด-18 ปี) มากที่สุด และสาขาการจัดสวัสดิการสังคมในด้านการศึกษา รูปแบบการดำเนินงานด้านสวัสดิการสังคมเป็นการดำเนินงานในรูปแบบการส่งเสริมมากที่สุด โดยกลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้สิทธิประโยชน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีการใช้สิทธิประโยชน์ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีปัญหาอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และมีความคิดเห็นต่อแนวทางส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างข้อมูลทั่วไปขององค์กรสาธารณประโยชน์ กับการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ (การรับรู้และใช้สิทธิประโยชน์) ปัญหาอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ และแนวทางส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีประเภทองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ต่างกันมีการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ (การรับรู้และใช้สิทธิประโยชน์) มีปัญหาอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ และมีแนวทางส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์
ในภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่จำนวนปีที่ดำเนินงานที่ต่างกันมีการใช้สิทธิ
ประโยชน์ และมีปัญหาอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนั้น จำนวนปีที่จดรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ต่างกันมีการรับรู้สิทธิประโยชน์
ในภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่จำนวนปีที่ดำเนินงานที่ต่างกันมีการใช้สิทธิ
ประโยชน์ และมีปัญหาอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนั้น จำนวนปีที่จดรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ต่างกันมีการรับรู้สิทธิประโยชน์
มีการใช้สิทธิประโยชน์ มีปัญหาอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ และมีแนวทางส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ข้อเสนอแนะจากการศึกษา หน่วยงานที่รับผิดชอบควรมีการมอบหมายผู้รับผิดชอบงานเกี่ยวกับองค์กรสาธารณประโยชน์โดยตรง กำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานร่วมกัน รวมทั้งปรับปรุง แก้ไขระเบียบสนับสนุนการดำเนินงานที่สามารถปฏิบัติตามได้จริง ควรมีการใช้กลไกคณะกรรมการในระดับต่างๆ ผลักดันนโยบายที่ส่งเสริมให้องค์กรสาธารณประโยชน์สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้มากขึ้น ระดับปฏิบัติควรมีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ และควรมีการประชาสัมพันธ์ อบรมให้ความรู้ ตลอดจนการจัดทำคู่มือแนวทางการเข้าถึงสิทธิประโยชน์
คำสำคัญ : การส่งเสริม, การเข้าถึงสิทธิประโยชน์, องค์กรสาธารณประโยชน์, พระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมภิวัฒน์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
