รัฐบาลดิจิทัลต้นแบบ: บทเรียนความสำเร็จของเอสโตเนียและเกาหลีใต้
Keywords:
รัฐบาลดิจิทัล, เอสโตเนีย, เกาหลีใต้Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพัฒนาการ ลักษณะสำคัญ และปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาประเทศไปสู่การเป็นประเทศต้นแบบด้านการเป็นรัฐบาลดิจิทัลในระดับโลก ของประเทศเอสโตเนียและประเทศเกาหลีใต้ และ 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลผ่านกรณีศึกษาของสองประเทศ วิธีการวิจัยใช้การเลือกประเทศแบบเจาะจง คือ ประเทศเอสโตเนีย และประเทศเกาหลีใต้ มาใช้เป็นกรณีศึกษาของประเทศต้นแบบนั้น เนื่องจากทั้งสองประเทศเปรียบเสมือนตัวแทนของสองเส้นทางสู่ความสำเร็จของเป็นรัฐบาลดิจิทัลต้นแบบในระดับโลกที่แตกต่างกัน โดยประเทศเอสโตเนียจะมีจุดเด่นในมิติของการสร้างโครงสร้างหลังบ้านของการเป็นประเทศดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ซึ่งจากผลการประเมินในปี ค.ศ. 2024 จากองค์การสหประชาชาติ โดยได้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศลำดับที่ 2 ของโลก ได้คะแนน 0.9727 ส่วนประเทศเกาหลีใต้จะมีจุดเด่นในมิติของการสร้างบริการหน้าบ้าน (Front-end) ที่ทันสมัยให้แก่ประชาชนในการใช้บริการ ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นลำดับที่ 4 ของโลก จากผลการประเมินในปี 2024 จากองค์การสหประชาชาติ โดยได้คะแนน 0.9679 โดยทั้งหมดใช้การวิจัยจากเอกสาร การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การจำแนกและจัดระบบข้อมูล และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า สถาปัตยกรรมและหลักการพื้นฐานของ e-Estonia ประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐาน X-Road หรือถนนข้อมูลแห่งชาติ การยึดถือหลักการ Once-Only หรือถามครั้งเดียวพอ การมีระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล (e-ID) และลายมือชื่อดิจิทัล และการให้ความสำคัญต่อความเป็นเจ้าของข้อมูลของพลเมือง โดยความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นรัฐดิจิทัลของเอสโตเนีย มาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่ชัดเจนและต่อเนื่อง 2) กรอบกฎหมายที่ก้าวหน้าและเอื้ออำนวย 3) การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชน 4) การออกแบบเพื่อสร้างความไว้วางใจ ส่วนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเกาหลีใต้ มาจากเสาหลักที่สำคัญประกอบด้วย การมีแพลตฟอร์มบริการแบบเบ็ดเสร็จ การขับเคลื่อนจากบนลงล่างและยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุม และการส่งเสริมการแข่งขันผ่านการประเมินผล โดยความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นรัฐดิจิทัลของเกาหลีใต้มาจากปัจจัยที่สำคัญ คือ 1) การผลักดันจากผู้นำสูงสุดของประเทศ 2) สังคมที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และวัฒนธรรม “พัลลี-พัลลี” 3) การลงทุนเพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล 4) ระบบการจัดการภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งระหว่างรัฐกับภาคเอกชน 5) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความโปร่งใสและการต่อต้านการทุจริต และ 6) ความสามารถในการพัฒนาและปรับตัวอย่างรวดเร็ว