การตรวจสอบประสิทธิภาพการเข้าถึงพื้นที่ให้บริการด้วยกระบวนการประเมินภายหลังการเข้าใช้พื้นที่อย่างครอบคลุมภายใต้แนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน กรณีศึกษา พื้นที่ให้บริการส่วนกลางภายในโรงพยาบาลมหาวิยาลัยนเรศวร

Main Article Content

จรัญญา พหลเทพ

บทคัดย่อ

บทคัดย่อ


        การประเมินคุณภาพการให้บริการในสถานพยาบาลส่วนใหญ่มุ่งประเมินที่ประเด็นการให้บริการด้านการตรวจรักษาแต่การประเมินด้านลักษณะทางกายภาพที่ครอบคลุมภายใต้กรอบแนวความคิดการออกแบบเพื่อคนทุกคน (Universal Design
UD) ยังไม่รับความสนใจมากเท่าใดนัก วัตถุประสงค์งานวิจัยนี้เพื่อประเมินประสิทธิภาพการเข้าถึงพื้นที่ให้บริการส่วนกลางของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร (ม.น) จังหวัดพิษณุโลก ด้วยกระบวนการอย่างเป็นระบบและครอบคลุม งานวิจัยนี้
เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยพิจารณาลักษณะทางกายภาพ การจัดพื้นที่ใช้สอยและอุปกรณ์ประกอบพื้นที่ ที่ส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการของโรงพยาบาล และเสนอแนวทางการปรับสภาพแวดล้อมทางกายภาพภาย เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพการเข้าถึงพื้นที่ให้บริการและคุณภาพการให้บริการของโรงพยาบาล ม.น ภายใต้แนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน เรียกวิธีการนี้ว่า “กระบวนการตรวจสอบประสิทธิภาพอาคารหลังการเข้าใช้พื้นที่อย่างครอบคลุม บนพื้นฐานของหลัก
การ UD วิธีการที่ใช้ประเมินเพื่อตรวจสอบกายภาพในโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิม ในประเด็นประสิทธิภาพการให้บริการตามหลักการ UD ประกอบด้วย 1) การระบุปัญหาทั่วไป (Identify General Problem) ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมทางกายภาพของ
โรงพยาบาล โดยผ่านวิธีการเดินสำรวจ (Walk-through) ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน UD เป็นผู้ประเมิน 2) การยืนยันปัญหาที่เกิดจากการใช้งานจริง (Further Investigation) ด้วยทดลองการเข้าถึงพื้นที่จริงจากอาสาสมัครที่มีข้อจำกัดทางด้านสภาพ
ร่างกาย (Experimental Access Audit) และ 3) การวินิจฉัยสาเหตุของปัญหา โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบมาตรฐานขนาดพื้นที่ภายในโรงพยาบาลที่เป็นสากล กับขนาดพื้นที่จริงภายในโรงพยาบาล (As-built) และการเปรียบเทียบอัตราการเคลื่อน
ตัวของคนภายในพื้นที่ระหว่างมาตรฐานการออกแบบและจำนวนของผู้ใช้งานจริง (Actual Usage) โดยทั้งหมดอาศัยกรอบแนวคิดของ UD เป็นเกณฑ์ในการประเมิน ผลจากการตรวจสอบกายภาพภายในพื้นที่ส่วนกลางของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร พบว่า ปัญหาสิ่งกีดขวาง และจำนวนคนที่มากเกินไปซึ่งทำให้เกิดการกระจุกตัว, ปัญหาความหนาแน่นของผู้ใช้ภายในพื้นที่, ปัญหาการจัดการพื้นที่กับจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาล ม.น ปัญหาการจัดการอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เหมาะสมสำหรับผู้พิการภายในพื้นที่ได้ไม่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ลดประสิทธิภาพการเข้าถึงพื้นที่ให้บริการของโรงพยาบาล ตามการประเมินจากพื้นฐานแนวคิด UD ดังนั้นการนำแนวคิดและหลักการ 7 ข้อ ของ UD ประกอบกับกระบวนการประเมินอย่างเป็นระบบและครอบคลุม เพื่อ
ประเมินประสิทธิภาพการให้บริการในโรงพยาบาลจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของโรงพยาบาลได้มากขึ้น


คำสำคัญ : กระบวนการประเมินภายหลังการเข้าใช้พื้นที่อย่างครอบคลุม, ประสิทธิภาพการเข้าใช้, การออกแบบเพื่อทุกคน, โรงพยาบาล

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
พหลเทพ จ. (2018). การตรวจสอบประสิทธิภาพการเข้าถึงพื้นที่ให้บริการด้วยกระบวนการประเมินภายหลังการเข้าใช้พื้นที่อย่างครอบคลุมภายใต้แนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน กรณีศึกษา พื้นที่ให้บริการส่วนกลางภายในโรงพยาบาลมหาวิยาลัยนเรศวร. Asian Creative Architecture, Art and Design, 26(1), 160–172. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/archkmitl/article/view/132718
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

นพดล สหชัยเสรี. (2554). เอกสารประกอบการสอนวิชา การออกแบบเพื่อมวลชน Universal Design กรุงเทพฯ: สาขาสหวิทยาการการวิจัยเพื่อการออกแบบบัณฑิตศึกษา. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง.

นพดล สหชัยเสรี.(2552).เอกสารคำสอนเรื่อง กระบวนทัศน์การออกแบบเพื่อความยั่งยืน Sustainability กรุงเทพฯ: สาขาสหวิทยาการการวิจัยเพื่อการออกแบบบัณฑิตศึกษา. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง.

Adler, D. (1999). METRIC HANDBOOK Planning and Design Data. Architectural Press. (2-13 – 2-15), (16-1– 16-8). Second Edition.

Afacan, Y., and Erbug, C. (2009). An interdisciplinary heuristic evaluation method for universal building design. Applied Ergonomics. 40, 731-744.

Department of health. (2013-2014). Health Building Note 00-01: General Design Guidance for Healthcare Buildings. pp. 27-46, Note 00-03 – Clinical and Clinical Support Spaces, pp.66-68,
Note 00-04 – Circulation and Communication Spaces, The UK Goverment’s Website.

Holmes-Siedle, J. (1996). Barrier-free Design A Manual for Building Designers and Managers. 1st ed.New York, USA: The Taylor & Francis Group.

Longo, E. (2012). Le relazioni giuridiche nel sistema dei diritti sociali. Profiliteorici eprassicostituzionali. Retrieved from: http://works.bepress.com/erik_longo/1/.

PASSINI, R, and PROULX, G. (1988). Wayfinding without Vision an Experiment With Congenitally Totally Blind People. Environment and Behavior. 20(2), 227-252.

Preiser, W. F. E., Verderber, S., and Battisto, D. (2009). Assessment of Health Center Performance: Toward the Development of Design Guidelines. International Journal of Architectural Research. 3(3), 21-44.
Arch Journal Issue 2018 Vol. 26 172

Preiser, W. F. E., Rabinowitz, H. Z., & White, E. T. (1988). Post-Occupancy Evaluation. New York: Van No strand Reinhold.

Setola, N., Borgianni, S., Martinez, M., and Tobari, E. (2013). The Role of Spatial Layout of Hospital Public Spaces in Informal Patient-Medical Staff Interface. In Proceedings of the 9th International Space
Syntax Symposium. Seoul, South Korea: Sejong University.

Steinfeld, E., and Danford, G. S. (1999). Enabling Environments Measuring the Impact of Environments on Disability and Rehabilitations. Plenum Series in Rehabilitation and Health. 111-137. New York.

The Center for Universal Design (1997). The Principles of Universal Design. Raleigh, TNC: North Carolina State University.

Ulrich, R. S., Zimring, C., Zhu, X., DuBose, J., Seo, H. B., Choi, Y. S., Quan, X., and Joseph, A.(2008). A Review of The Research Literature on Evidence-Based Healthcare Design. Health Environments
Research & Design Journal, 1(3), 61-125.

Verderber, S. and Fine, D. (2000). Healthcare Architecture in an Era of Radical Transformation. New Haven and London: Yale University Press.