กลุ่มอีเลิ้งกับข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาศิลปะชุมชนในประเทศไทย

Main Article Content

ธารินี รัตนเสถียร
จีราวรรณ แสงเพ็ชร์

บทคัดย่อ

แม้ว่าแนวคิดเรื่องศิลปะชุมชนจะได้รับการกล่าวถึงมากขึ้นในวงการศิลปะไทยร่วมสมัย แต่ในเชิงนโยบายกลับพบว่ายังขาดระบบสนับสนุนที่มั่นคง ยั่งยืน และสอดคล้องกับบริบทจริงของชุมชน ศิลปะชุมชนในประเทศไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มเกิดขึ้นอย่างไม่ต่อเนื่อง ขาดโครงสร้างสนับสนุนจากภาครัฐหรือสถาบันที่เหมาะสม อีกทั้งมักไม่สามารถสร้างความเชื่อมโยงเชิงลึกกับชุมชนได้จริง ก่อให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืน ผลกระทบ และบทบาทของศิลปะในการพัฒนาสังคม


งานวิจัยนี้มุ่งสำรวจกลุ่มอีเลิ้ง (E-Lerng Artists Collective) ซึ่งดำเนินงานด้านศิลปะชุมชนในย่านนางเลิ้ง กรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับชุมชนในรูปแบบที่ไม่อิงกับสถาบันรัฐ ไม่ยึดติดกับวาทกรรมกระแสหลัก และอาศัยพลังความสัมพันธ์ระยะยาวเป็นหัวใจสำคัญ งานวิจัยนี้จัดทำขึ้นโดยผู้วิจัยในฐานะ “ผู้ร่วมปฏิบัติการ” (practitioner–researcher) ที่มีส่วนร่วมกับกลุ่มอีเลิ้งในหลากหลายบทบาท เช่น ศิลปิน นักวิจัย ภัณฑารักษ์ และอาสาสมัคร ส่งผลให้สามารถเข้าถึงกระบวนการทำงาน แนวคิด และพลวัตภายในกลุ่มได้อย่างลึกซึ้งจากภายใน


วัตถุประสงค์หลักของงานวิจัยนี้คือ (1) ศึกษาพัฒนาการ โครงสร้าง และรูปแบบการดำเนินงานของกลุ่มอีเลิ้งในฐานะกลุ่มศิลปะชุมชนระยะยาว (2) วิเคราะห์เงื่อนไขทางสังคม นโยบาย และโครงสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อหรือเป็นอุปสรรคต่อศิลปะชุมชนในประเทศไทย ผ่านกรณีศึกษาของกลุ่มอีเลิ้ง และ (3) เสนอข้อเสนอเชิงนโยบายที่เหมาะสมต่อการพัฒนาและสนับสนุนศิลปะชุมชนในระยะยาว อันอิงจากบทเรียนของกลุ่มอีเลิ้งและการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกับทฤษฎีสำคัญที่เกี่ยวข้อง


การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบคุณภาพโดยผสมผสานหลากหลายเครื่องมือ ได้แก่ การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับสมาชิกกลุ่มอีเลิ้ง ศิลปินร่วมโครงการ ผู้นำชุมชน และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวัฒนธรรม การสังเกตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่จริง การเก็บข้อมูลภาคสนาม เอกสาร และภาพถ่าย รวมถึงการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกับกรอบแนวคิดสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ แนวคิด “Community Art as Decentralized Social Infrastructure” ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยผู้วิจัย อธิบายศิลปะชุมชนในฐานะโครงสร้างทางสังคมที่ไม่ขึ้นต่ออำนาจส่วนกลาง แต่เกิดจากพลังของความสัมพันธ์ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และการมีส่วนร่วมอย่างสมัครใจของคนในพื้นที่ ทั้งนี้ได้มีการเปรียบเทียบกับแนวคิด “Cultural Infrastructure” ของ Markusen และ Gadwa (2010), แนวคิด Dialogical Aesthetics ของ Kester (2004), ทฤษฎี The Social Turn ของ Bishop (2006), และการวิพากษ์เชิงนโยบายของ Matarasso (1997)


ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า กลุ่มอีเลิ้งมีลักษณะของการเป็น “โครงสร้างทางสังคมแบบกระจายอำนาจ” ซึ่งเน้นการทำงานผ่านความสัมพันธ์ระยะยาวกับชุมชน ไม่อิงกับแหล่งทุนถาวรหรือวาทกรรมหลักของสถาบันศิลปะ กลุ่มสามารถยืดหยุ่นกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง โดยทำหน้าที่เป็นทั้งพื้นที่สร้างสรรค์ ศูนย์กลางการเรียนรู้ แพลตฟอร์มการจัดการทรัพยากร และพื้นที่พัฒนาเยาวชนและผู้นำชุมชนรุ่นใหม่ ตัวอย่างกิจกรรมของกลุ่มสะท้อนการทำงานแบบสหสาขาวิชา (transdisciplinary) ที่เชื่อมโยงศิลปะกับการศึกษา สุขภาวะ วัฒนธรรมท้องถิ่น และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมเป็นแกนกลาง


ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญจากงานวิจัยนี้ ได้แก่ การสร้างระบบสนับสนุนจากฐานราก (bottom-up support) โดยเน้นการให้ทุนแบบยืดหยุ่น การสนับสนุนระยะยาวที่ไม่ผูกติดกับโครงการ การพัฒนากลไกกลางเพื่อเชื่อมโยงรัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชนอย่างเท่าเทียม รวมถึงการเปลี่ยนบทบาทของรัฐจาก “ผู้นำ” มาเป็น “ผู้สนับสนุน” ที่เอื้อต่อการถ่ายทอดความรู้จากพื้นที่จริง ข้อเสนอเหล่านี้ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่แวดวงศิลปะ หากแต่สะท้อนถึงศักยภาพของศิลปะชุมชนในการสร้างโครงสร้างสังคมที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้คน

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
รัตนเสถียร ธ., & แสงเพ็ชร์ จ. (2025). กลุ่มอีเลิ้งกับข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาศิลปะชุมชนในประเทศไทย. Asian Creative Architecture, Art and Design, e279014. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/archkmitl/article/view/279014
ประเภทบทความ
บทความวิชาการ

เอกสารอ้างอิง

Bishop, C. (2006). Participation (Documents of Contemporary Art). The MIT Press. https://dl.acm.org/doi/10.5555/1211935

Bishop, C. (2012). Artificial hells: Participatory art and the politics of spectatorship. Verso.https://doi.org/10.1017/S0040557413000410

Kester, G. H. (2004). Conversation Pieces: Community and Communication in Modern Art. Berkeley: University of California Press. pp. 90–93. https://doi.org/10.1525/9780520954878

Klinenberg, E. (2018). Palaces for the people: How social infrastructure can help fight inequality, polarization, and the decline of civic life. Crown Publishing Group. https://doi.org/10.1080/15575330.2022.2118937

Lacy, S. (1995). Mapping the terrain: New genre public art. Bay Press. https://books.google.co.th/ books/about/Mapping_the_Terrain.html?id=vqDYAAAAMAAJ&rediresc=y

Markusen, A., & Gadwa, A. (2010). Creative placemaking Reflections on a 21st-century American arts policy Initiative. Routledge. http://dx.doi.org/10.4324/9781315104607-2

Matarasso, F. (1997). Use or Ornament? The Social Impact of Participation in the Arts. (ISBN 1‑873667‑57‑4), Comedia.

Putnam, R. D. (2000). Bowling Alone: The Collapse and Revival of American Community. Simon & Schuster. https://doi.org/10.1145/358916.361990

Throsby, D. (2010). The Economics of Cultural Policy. Cambridge University Press. https://doi.org/10.1017/CBO9780511845253