จิตรกรรมร่วมสมัย จากเหตุผลการตกหลุมรัก

Main Article Content

สิระ หอมจันทร์
กิตสิรินทร์ กิติสกล

บทคัดย่อ

บทความนี้มีที่มาและความสำคัญจาก ความสนใจในพฤติกรรมการตกหลุมรักซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สามารถพบเจอได้ในทุกช่วงเวลาของวัยในชีวิต เราสามารถตกหลุมรักกับสิ่งของ ผู้คนรอบข้าง สัตว์เลี้ยง อาหาร เรื่องราวดีๆ สรรพสิ่งที่พบเจอ โดยความรักถือเป็นจุดเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์ ทั้งความรักในฐานะพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน และคนรัก การตกหลุมรักเริ่มขึ้นตั่งแต่แรกเกิด วัยเด็กรับรู้การตกหลุมรักครั้งแรก จากการเรียนรู้การให้ความรักที่มาจากผู้ปกครอง การตอบสนองเข้าใจคนที่รักและดูแล ที่กล่าวนี้อาจเป็นชิ้นส่วนของความทรงจำเล็กๆ แต่เมื่อขยายความหมายไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์ความรู้สึก แต่ยังเกี่ยวข้องไปถึงชิ้นส่วนภายในร่างกาย  สารเคมีในสมองหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงเกี่ยวข้องกับหลักการทางจิตวิทยา


มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานจิตรกรรมที่เกิดจากการพิจารณาแรงบันดาลใจส่วนตัว ผ่านการค้นคว้าข้อมูล ทบทวนวรรณกรรมและพัฒนาเป็นงานศิลปะ เพื่อเข้าใจเหตุผลการตกหลุมรัก ซึ่งเป็นพื้นฐานในบริบทชีวิตประจำวัน โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลภาคเอกสาร การศึกษาผลงานศิลปิน และพัฒนาเป็นงานสร้างสรรค์ ที่มีการสอดแทรกและเชื่อมโยงแนวความคิด รูปแบบ รูปทรง ความหมายทางสี สัญลักษณ์ และสัญญะในงานทัศนศิลป์ นอกจากนี้งานในวิจัยได้นำทฤษฎีด้านความรัก ทฤษฎีจิตวิทยา ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และด้านศิลปะ มาใช้การในการศึกษา   


ผลของการศึกษาข้อมูลและทดลองสร้างสรรค์สรุปได้ว่าการตกหลุมรักจะเกิดขึ้นจาก การรับรู้ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) การรับรู้ทางกายภาพ คือ สายตา ที่เป็นอวัยวะอันสำคัญที่สุด เพราะการมองเห็นทำให้ อาจนำไปสู่ความชอบ และ เกิดการตกหลุมรัก 2) การรับรู้ทางอารมณ์ คือ ความรู้สึกที่สนองตอบรับให้เกิดอารมณ์ภายใต้ความคิด ทั้งนี้ แนวทางการสร้างสรรค์จิตรกรรม ที่ผู้วิจัยสนใจนำเสนอ จึงมีลักษณะรูปแบบของ ศิลปะลัทธิจุลนิยม (Minimalism) ที่ สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อนในเชิงองค์ประกอบ แต่มีการตีความหมายจากสัญลักษณ์ และความสนใจชุดสีของ ลัทธิประชานิยม (Pop Art) ที่มีสีสันสดใส ตีความหมายเหตุผลผ่านงานจิตรกรรม เกิดเป็นชุดผลงานจิตรกรรม 4 ชุด ได้แก่ 1) ระยะที่ 1 เน้นการใช้วัสดุ 2) ระยะที่ 2 เน้นการวาดสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน 3) ระยะที่ 3 เน้นการใช้สีเปรียบเทียบความรู้สึก 4) ระยะที่ 4 เน้นการใช้สีชมพูและการใช้รูปทรงหัวใจ ซึ่งในผลงานชุดที่ 4 สามารถตอบโจทย์ได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับ 3 ชุดทดลอง


เกิดเป็นข้อสรุปผลการวิจัย ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านรูปแบบเทคนิคในการมาสื่อความหมาย ผู้วิจัยเลือกใช้แนวทางศิลปะลัทธิจุลนิยม (Minimalism) ซึ่งให้ความชัดเจนแก่เหตุผล เรียบง่าย เข้าใจชัด ส่งผลถึงการหาเทคนิคการใช้สี ของลัทธิงานศิลปะที่ใช้สีที่ทำให้เกิดความรู้สึกพลังงานด้านบวก ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจ การใช้ชุดสีของศิลปะลัทธิประชานิยม (Pop Art) มาต่อยอดในงานจิตรกรรม ตลอดจนมี การศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องของงานศิลปะ ทั้ง 2 ลัทธินี้ ได้ผลว่า มีความสอดคล้องกันใน รูปแบบผลงาน และ ช่วงเวลาการเกิดขึ้นของสองลัทธิ ที่มีต้นกำเนิดพร้อมกันในช่วงเวลาทศวรรษที่ 1960  และมีศิลปินที่เชื่อมโยงกับการทำงานของผู้วิจัยในด้านรูปแบบ รวมถึงข้อเกี่ยวข้องในด้านแนวความคิด และทำงานเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ซึ่งมีผลต่อการพัฒนางานในระยะที่ 4 ศิลปนิพนธ์เป็นอย่างมาก 2) ปัจจัยด้านสีในการสร้างสรรค์งานจิตรกรรม จากการศึกษาชุดสีที่สามารถนำมาต่อยอดการทำงานสร้างสรรค์นั้น ชุดสีที่ตอบโจทย์ในเรื่องราวของการตกหลุมรัก คือ กลุ่มสีชมพู เพราะ ให้ความรู้สึกถึงประเด็นทาง ด้านความรัก เป็นกลุ่มสีที่อ่อนโยน ความหวาน ความนุ่มนวล และให้ความหมายถึงการเป็นคู่ครอง สีชมพูยังเป็นสัญญะทางสี ถึงการเป็นตัวแทนในด้านความรัก ที่มีความหมายสากล และถูกรับใช้ในทางประวัติศาสตร์ และศิลปะมาเป็นระยะเวลายาวนาน 3) ปัจจัยเรื่องการใช้สัญญะ รูปทรง การเปรียบเทียบเหตุผลผ่านสิ่งของเรื่องใช้ในชีวิตประจำวัน การนำสิ่งเหล่านี้มาเพราะ การเลือกใช้รูปทรงที่เหมือนจริงที่เป็นของใช้ของมนุษย์ มาสอดแทรก เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตในเหตุผลนั้น รวมทั้งการใช้รูปทรง สัญญะ ที่สื่อเรื่องการตกหลุมรัก เช่น หัวใจ เป็นเหมือนสัญลักษณ์สากล เปรียบได้ว่าเป็นเครื่องหมายของความรัก  4) ปัจจัยการใช้การใช้ วัสดุ เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์งานจิตรกรรม โดย การติดแผ่นอะคริลิค (Acrylic Sheet) บนผืนผ้าใบ จากการศึกษาเรื่องพฤติกรรมการตกหลุมรัก “การรับรู้” เป็นเหตุสำคัญที่สุดในการให้เกิดความรู้สึกนี้

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
หอมจันทร์ ส., & กิติสกล ก. (2025). จิตรกรรมร่วมสมัย จากเหตุผลการตกหลุมรัก. Asian Creative Architecture, Art and Design, e279267. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/archkmitl/article/view/279267
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Bateson, M., & Martin, P. (1986). Measuring behaviour: an introductory guide. Cambridge University Press.

Brown, D. B. (2013). Romanticism. Phaidon Press. (in Thai)

Chumchuenmueng, M. (1994). Creative psychology the relationship of love and resolving the problems that arise. Tontham. (in Thai)

Chongchitphotha, S. (2013). Theory of Color. Wadsilp. (in Thai)

Chiubang, T. (1993). Learning Theory of Color. Odeonstore. (in Thai)

Farrimond, S. (2020). The Science of Living: 219 reasons to rethink your daily routine. Dorling Kindersley.

Haug, P. (1978). Psychology of Love. Delphi. (in Thai)

Honnef, K. (2004). Pop Art. Taschen America. (in Thai)

Juan, C. S. (2019). Pillow Book: Psychology of Love. Tsinghua University Press. (in Thai)

Marzona, D. (2006). Minimal Art. Taschen America. (in Thai)

Misap, K. (1987). Meaning of love : Psychological analysis. Siam. (in Thai)

Praphaso, A. (2015). Color Theory. Pornsupprinting. (in Thai)

Klimt, G. (1907). The Kiss [Photograph]. Posterlounge. https://www.posterlounge.ie/p/573047.html

Rungchawannon, M. (2014). Non-Fiction 23 History Palette. Salmon Books. (in Thai)

Sawangrot, S. (1994). Psychology of Love. Soithong. (in Thai)

Yakir, L. Y. (2024). A Brief History of Love : What Attracts Us, How We Fall in Love and Why Biology Screws it All Up. Watkins Publishing. (in Thai)