ปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นอาสาสมัครอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา: อาสาสมัครเหล่ากาชาด และกิ่งกาชาดจังหวัดสงขลา
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นอาสาสมัครอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา: อาสาสมัครเหล่ากาชาดและกิ่งกาชาด จังหวัดสงขลา ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยตัวแปร 3 ตัวแปร ได้แก่ ปัจจัยการสนับสนุนทางสังคม ปัจจัยความพึงพอใจในกิจกรรมและองค์กร และปัจจัยเอกลักษณ์ในบทบาทอาสาสมัครแบบเฉพาะ ประชากรที่ศึกษา คือ อาสาสมัครของเหล่ากาชาดและกิ่งกาชาด จังหวัดสงขลา จำนวน 610 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรยามาเน่ ได้ขนาดตัวอย่างจำนวน 242 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของแต่ละปัจจัยเท่ากับ .93, .88 และ .96 ตามลำดับ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุ
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีช่วงอายุระหว่าง 51–60 ปี สถานภาพสมรส มีการศึกษาระดับประถมศึกษา ประกอบอาชีพค้าขาย และมีรายได้มากกว่า 50,001 บาทต่อเดือน มีบุคคลที่ต้องดูแลในครอบครัว 1-3 คน และส่วนใหญ่มีระยะเวลาในการเป็นอาสาสมัครมาแล้ว 6–10 ปี ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า (1) ปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นอาสาสมัครอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยการสนับสนุนทางสังคม ปัจจัยความพึงพอใจในกิจกรรมและองค์กร และปัจจัยเอกลักษณ์ในบทบาทอาสาสมัครแบบเฉพาะ และ (2) ปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นอาสาสมัครอย่างยั่งยืนมากที่สุด คือ ปัจจัยเอกลักษณ์ในบทบาทอาสาสมัครแบบเฉพาะ ( β=0.711) รองลงมา คือ ปัจจัยการสนับสนุนทางสังคม และปัจจัยความพึงพอใจในกิจกรรมและองค์กร ( β=0.237, 0.152) ตามลำดับ โดยสามารถทำนายการเป็นอาสาสมัครอย่างยั่งยืนได้ ร้อยละ 62.9, 61.5 และ 45.8 (Adjusted R Square=0.629, 0.615 และ 0.458)
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามลำดับ
Article Details
- ผู้เขียนต้องยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กองบรรณาธิการวารสารกำหนด และผู้เขียนต้องยินยอมให้บรรณาธิการ แก้ไขความสมบูรณ์ของบทความได้ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเผยแพร่
- ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียน แต่วารสารเทคโนโลยีภาคใต้คงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตีพิมพ์ครั้งแรก โดยเหตุที่บทความนี้ปรากฏในวารสารที่เข้าถึงได้จึงอนุญาตให้นำบทความไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา แต่มิใช่เพื่อการพาณิชย์