ธรรมาภิบาลแนวพุทธ: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาลักษณะสำคัญขององค์กรธรรมาภิบาลแนวพุทธในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย (2) ศึกษารูปแบบและการบริหารจัดการธรรมาภิบาลในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแนวพุทธมาปฏิบัติ และ (3) ศึกษาการบูรณาการตัวแบบการบริหารจัดการในกรอบธรรมาภิบาลแนวพุทธในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาปรากฏการณ์จากสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริงในทุกมิติ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจปรากฏการณ์นั้น ประชากรที่ใช้ ได้แก่ ชุมชนต้นแบบ 4 องค์กร โดยเลือกผู้นำองค์กร และคณะกรรมการบริหารจัดการองค์กรนั้น ๆ จำนวน 4 องค์กร ดังนี้ ชุมชนไม้เรียง ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมชนสันติอโศก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ชุมชนบ้านคลองเปียะ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา และ เทศบาลตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างที่สามารถยืดหยุ่นได้ 2) แบบสังเกตการณ์การทำงานการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คำพูดที่ได้จากการสัมภาษณ์ และการสังเกตการณ์ โดยให้ความสำคัญทั้งความหมายในทางภาษาและมีการตีความจากสิ่งที่ซึ่งซ่อนอยู่ในขณะนั้น
ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะสำคัญขององค์กรธรรมาภิบาลแนวพุทธประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ (1) ใช้หลัก ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ 4 พรหมวิหาร 4 และ อิทธิบาท 4 ในการบริหารองค์กร (2) ผู้บริหารมีธรรม (3) องค์กรเน้นความพอเพียงและพึงพอใจ (4) มีวัฒนธรรมที่เหมาะสมกับภูมิปัญญาชาวบ้าน (5) น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ และ (6) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นสำหรับรูปแบบและการบริหารจัดการธรรมาภิบาล พบว่า เกี่ยวข้องกับ 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารใช้หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วมเน้นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 2) วิถีชีวิต ค่านิยม ความเชื่อภายในองค์กรยึดหลักความเคร่งครัด มีระเบียบวินัยส่วนบุคคล 3) ส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นภายในองค์กร และ 4) มีการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำรงชีวิตโดยสร้างรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือนและชุมชน ในด้านการบูรณาการตัวแบบการบริหารจัดการในกรอบธรรมาภิบาลแนวพุทธ มีลำดับขั้นตอน ดังนี้ (1) การกำหนดยุทธศาสตร์การบริหารองค์กรด้วยการปลูกฝังค่านิยมที่พึงประสงค์ (2) มีการบูรณาการนำหลักธรรมกับหลักธรรมาภิบาลมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน (3) มีการพัฒนาองค์กรโดยใช้หลักการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง และ (4) มีหลักการบริหารเพื่อประโยชน์สุขต่อประชาชนโดยรวม ส่งเสริมการมีส่วนร่วม คุ้มค่า โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
Article Details
- ผู้เขียนต้องยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กองบรรณาธิการวารสารกำหนด และผู้เขียนต้องยินยอมให้บรรณาธิการ แก้ไขความสมบูรณ์ของบทความได้ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเผยแพร่
- ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียน แต่วารสารเทคโนโลยีภาคใต้คงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตีพิมพ์ครั้งแรก โดยเหตุที่บทความนี้ปรากฏในวารสารที่เข้าถึงได้จึงอนุญาตให้นำบทความไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา แต่มิใช่เพื่อการพาณิชย์
เอกสารอ้างอิง
Makkaraj, S. (2013). A comparative Study of Administration Applying Buddhism and ~Good Governance. M. A. Thesis (Buddhist Studies), Mahachulalongkornrajavidyalaya University. Bangkok. [in Thai]
Nakata, T. (2000). Buddhism & Thai Society. (2nd ed). Bangkok: Sahaiblog & Printing Part., Ltd.
[in Thai]
Phra Thepwaytee, Payututo, P. (1992). Buddhism as the Foundation of Science. Chiang Mai: Faculty of Science, Chiang Mai University. [in Thai]
Pothisita, C. (2005). Science and Arts of Qualitative Research (4th ed.). Bangkok: Amarin Printing and Publishing.
[in Thai]
The Secretariat of the Cabinet. (2014). The Structure and Organization Chart of the Secretariat of the Cabinet. The Structure Chart of Officer Rate in the Secretariat of the Cabinet. [in Thai]