วัฒนธรรมเก็บสะสม: ข้อเสนอ วิวาทะและพัฒนาการ

Authors

  • Professor Dr. Niti Pawakapan Faculty of Political Science Chulalongkorn University

Abstract

สาระสำคัญที่จะอภิปรายในบทความนี้คือแนวคิดหรือสมมติฐานและข้อถกเถียงบางประการในวงวิชาการด้าน “วัฒนธรรมเก็บสะสม” (Collecting Culture) โดยใช้กรณีศึกษาในสังคมตะวันตกเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นถึงที่มาหรือจุดเริ่มต้นและพัฒนาการของการเก็บสะสม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมเก็บสะสมกับเรื่องอื่น เช่น พิพิธภัณฑ์ การพักผ่อนหย่อนใจ ชนชั้น เป็นต้น

          อนึ่ง ผมควรระบุด้วยว่าเนื้อหาและประเด็นต่างๆ ที่จะอภิปรายในที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย/งานเขียนที่เคยตีพิมพ์แล้ว[1] แม้ว่าผลงานชิ้นนั้นจะครอบคลุมสาระและประเด็นในการอภิปรายที่มีรายละเอียดมากกว่า โดยใช้กรณีศึกษาในประเทศไทยเป็นตัวอย่าง ซึ่งทำให้เห็นความเฉพาะและความแตกต่างจากกรณีศึกษาในสังคมตะวันตกก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นผลงานที่ผมเขียนไว้หลายปีแล้ว เนื้อหาบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแนวคิดและวิวาทะ อาจไม่ทันสมัยเท่าที่ควร ทว่า ด้วยความหวัง (และความคิดที่อาจเข้าข้างตัวเอง?) ว่าสาระสำคัญบางประการในบทความนี้ เช่น เรื่องการเริ่มต้นของการเก็บสะสม ข้อเสนอเรื่อง “ใจรัก” และ “กำไร” เป็นต้น อาจยังไม่ล้าสมัยนัก[2]

          นอกจากนี้ ผมได้ปรับปรุงบทความนี้ด้วยการเขียนแก้ไขรายละเอียดในบางเรื่อง และได้เพิ่มเติมสองประเด็นที่คิดว่าสำคัญ ได้แก่ เรื่องความละอายแห่งยุคสมัยและวัตถุที่ไม่มีใครต้องการ และเรื่องวัตถุที่มีนัยทางการเมือง แต่ดูไร้ค่าเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งจะปรากฏในตอนท้ายของบทความ ประเด็นแรกเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศนิวซีแลนด์ เป็นเรื่องที่โต้แย้งกันอย่างมากและยังหาข้อยุติไม่ได้ ส่วนประเด็นที่สองเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองไทยในปัจจุบัน ในความเห็นของผม ทั้งสองประเด็นเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเก็บสะสมอย่างลึกซึ้ง ทำให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลทางสังคม-วัฒนธรรมและการเมืองกับวัตถุ (ที่ควรหรือไม่ควรเก็บสะสม) และความเปลี่ยนแปลงทางความคิดเกี่ยวกับวัตถุที่เก็บสะสม ผมจึงคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อนักศึกษาหรือผู้ที่สนใจในเรื่องวัฒนธรรมเก็บสะสม

Downloads

Published

2021-06-30

How to Cite

Pawakapan, Professor Dr. Niti. 2021. “วัฒนธรรมเก็บสะสม: ข้อเสนอ วิวาทะและพัฒนาการ”. Social Sciences Academic Journal, Faculty of Social Sciences, Chiang Mai University 33 (1):147-91. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jss/article/view/248412.