Charles F. Keyes ด้วยความเคารพและจดจำ
Main Article Content
บทคัดย่อ
ศาสตราจารย์ ชาร์ล เอฟ คายส์ หรืออาจารย์คายส์ นักมานุษยวิทยาอเมริกันผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษาและอุษาคเนย์ ได้จากพวกเราไปอย่างสงบ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2565 ที่ผ่านมาที่เมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน รวมท่านอายุได้ 84 ปี ใช้ชีวิตได้ครบ 7 รอบนักษัตร
ท่านแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกับภรรยาอันเป็นที่รักของท่านคือ Jane Keyes หรือ คุณเจน นานกว่า 60 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน คุณเจน ภรรยาของท่านนับว่าเป็นผู้ร่วมทำงานวิจัยภาคสนามคนสำคัญแต่แรกเริ่มชีวิตนักมานุษยวิทยาของคายส์
อาจารย์คายส์ เดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำงานวิจัยภาคสนามนานเกือบ 2 ปี (ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2505-เมษายน 2507) ที่มหาสารคาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของท่าน แทบทุกหนแห่งที่อาจารย์คายส์เดินทางไปศึกษา รวบรวมข้อมูลภาคสนาม พบปะผู้คนมากมาย. คุณเจนคือช่างภาพคนสำคัญที่ทำงานร่วมกับท่าน จนเราน่าจะกล่าวได้ว่า เจน คายส์ คือ Photographer ที่ทำงานวิจัยร่วมกับ Anthropologist คืออาจารย์คายส์ จนกลายเป็นผลงานด้านมานุษยวิทยาทัศนนา อันทรงคุณค่ายิ่ง ที่เราได้เห็นและใช้ประโยน์จากภาพถ่ายเชิงชาติพันธุ์นิพนธ์ จนไปถึงได้เห็นภาพการทำงานภาคสนามของอาจารย์คายส์ (ปัจจุบันรวบรวมไว้ในรูปแบบของ Digital Archive ที่มหาวิทยาลัยวอร์ชิงตัน)
หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล (Cornell University) ในปีพุทธศักราช 2508 อาจารย์คายส์ เริ่มงานสอนที่ ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน, ซีแอตเทิล (University of Washington, Seattle) ระหว่างที่เริ่มงานสอนหนังสือได้ไม่นาน ท่านได้รับทุนวิจัยกลับมาทำงานหลังปริญญาเอกในประเทศไทย ทำงานวิจัยเชิงมานุษยวิทยาชาติพันธุ์ร่วมกับ Peter Kunstadter ที่แม่สะเรียง
ท่านและภรรยาใช้เวลาทำงานวิจัยภาคสนามอยู่ที่แม่สะเรียงนานกว่าปี คือระหว่างปีพุทธศักราช 2511 – 2512
งานภาคสนามที่แม่สะเรียงนี่เองคือ “จุดเปลี่ยน” สำคัญที่ทำให้ท่านหันมาสนใจศึกษาชาวกะเหรี่ยงและสังคมวัฒนธรรมในล้านนา ดังปรากฏผ่านผลงานสำคัญมากมายของท่านที่อาจกล่าวได้ว่าคือ มานุษยวิทยาศาสนา-ล้านนาคดี อาทิ “Buddhist Pilgrimage Centers and the Twelve-Year Cycle” (ในวารสาร History of Religions. 1975) ซึ่งเป็นเรื่องของการจาริกแสวงบุญของชาวล้านนาไปตามพระธาตุต่างๆ ตามปีเกิดของชาสวล้านนา และ “Millennialism, Theravada Buddhism, and Thai Society” (ในวารสาร The Journal of Asian Studies. 1977) ซึ่งเป็นงานมานุษยวิทยาศาสนาว่าด้วยขบวนการพระศรีอารย์
ระหว่างปีพุทธศักราช 2515-2517 (และปีต่อๆ มากระทั่งบั้นปลายชีวิตวิชาการของท่าน) อาจารย์คายส์ยังได้เดินทางกลับมาทำงานวิชาการในประเทศไทยอีกครั้งสำคัญ ในฐานะนักวิชาการอาจารย์แลกเปลี่ยนโครงการ Fulbright ท่านมาช่วยสอนหนังสือที่ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ราวสองปี จนกล่าวได้ว่าในฐานะนักวิชาการของโครงการ Fulbright มีส่วนช่วยวางรากฐานการศึกษา หลักสูตรการเรียนการสอนให้กับคณะสังคมศาสตร์ยุคก่อตั้งแรกเริ่มอย่างสำคัญ
จากเชียงใหม่ ท่านกลับทำงานวิจัยและสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันจนได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ และคือผู้ก่อตั้ง “ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Southeast Asian Centre) อุทิศเวลาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ ทำงานขับเคลื่อนและส่งเสริมการศึกษาวิจัย หาทุนสนับสนุนให้นักศึกษาบัณฑิตศึกษาทำงานวิจัยด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของท่านเป็นเวลายาวนานกว่าทศวรรษ (ระหว่างปี 2529-2540)
เป็นที่ยอมรับกันว่า ท่านคือนักมานุษยวิทยาอเมริกันคนสำคัญ ผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้ง รอบด้าน เกี่ยวกับไทยศึกษาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
อาจารย์คายส์กับภรรยา คือคุณเจน ยังช่วยบริจาคสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษา ผ่านกองทุน Endowed Fund in Southeast Asia Studies ซึ่งจะให้ทุนสนับสนุนการเดินทางของนักศึกษาเพื่อทำวิจัยในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ ที่ภาควิชามานุษยวิทยา อาจารย์คายส์ ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาควิชานานกว่า 5 ปี (ระหว่างปีพุทธศักราช 2528 - 2532) ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานสำคัญ คือ Dan Lev, Charlie Hirschman, และ Karl Hutterer สร้างและวางรากฐานให้ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาสำคัญ ในแวดวงเครือข่ายมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านสังคมศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ความสำเร็จของอาจารย์คายส์ ในการผลักดันให้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา เติบโตอย่างมั่นคง นั้นกล่าวกันว่าไม่ได้เพียงแค่มาจาก ความลุ่มลึกแข็งแกร่งทางวิชาการของท่าน แต่ยังมาจาก การอุทิศตนของท่านอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ในฐานะอาจารย์สอนหนังสือและนักมานุษยวิทยาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
บารมีทางวิชาการอันยิ่งใหญ่ของท่าน ยังทำให้อาจารย์คายส์กลายเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสำคัญ ที่จะกำหนดทิศทาง การวางแผนการศึกษาเกี่ยวกับเอเชีย ในมูลนิธิฟอร์ดและสภาวิจัยด้านสังคมศาสตร์ (Social Science Research Council - SSRC) ณ สภาวิจัยด้านสังคมศาสตร์ (แห่งชาติ) อาจารย์คายส์ได้ช่วยผลักดันให้เวียดนามศึกษากลายมาเป็นที่สนใจในแวดวงมานุษยวิทยาอเมริกัน อันเป็นช่วงเวลาที่ท่านรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าผ่ายวิชาการของสภาวิจัยด้านสังคมศาสตร์โครงการอินโดจีน และท่านเองก็หันมาสนใจทำงานศึกษาชาติพันธุ์วัฒนธรรมในประเทศเวียดนามอย่างจริงจัง นอกจากนี้ท่านยังมีบทบาทอยางสำคัญในการส่งเสริมผลักดันให้มีการฝึกอบรมการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ในประเทศเวียดนามและประเทศลาว โดยผ่านงานเหล่านี้นี่เองที่ ท่านจึงสามารถหาทุนสนับสนุนให้นักวิชาการ นักศึกษา จากประเทศเวียดนาม เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนมานุษยวิทยาหรือสังคมศาสตร์อื่นๆ ณ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้การให้คำปรึกษาดูแลของท่าน
เกียรติภูมิและคุณูปการทางวิชาการ ทำให้ท่านเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสังคมศาสตร์อเมริกัน และในปี 2543 ท่านได้รับเลือกจากการลงคะแนนเสียงของสมาชิกสมาคมเอเชียศึกษาทั่วประเทศ ให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานสมาคม the Association for Asian Studies ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดและสมเกียรติยิ่งในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาและไทยศึกษา (Thai Studies) ในสหรัฐอเมริกา
อาจารย์คายส์และภรรยาทำงานอุทิศเวลาให้กับกิจกรรมต่างๆ ของศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนท่านเกษียณอายุในปีพุทธศักราช 2549 รวมเป็นเวลายาวนานกว่า 40 ปี และในปี 2546 มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้มอบรางวัลอันสมเกียรติ Graduate Mentoring Award ให้ท่านในฐานะ “ครูมานุษยวิทยา” อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ซึ่งผลิตมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต รวมมากกว่า 60 ชีวิต ลูกศิษย์ ลูกหาของท่านนอกจากนักศึกษาชาวอเมริกัน ราว 3ใน 4 คือนักศึกษาจากประเทศไทยและประเทศเวียดนาม
หลังเกษียณอายุ ท่านยังคงรับงานสอนพิเศษ ต่อมาอีกราว 5 ปี กระทั่งในปี 2556 ท่านกับคุณเจน จึงย้ายจากวอชิงตันไปใช้ชีวิตอยู่ที่โอเรกอน กระนั้นท่านยังคงดำรงตำแหน่ง Emeritus Professor ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน กระทั่งจากพวกเราไป
ผลงานวิชาการด้านไทยศึกษา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และมานุษยวิทยา-ล้านนาคดี ของอาจารย์คายส์นั้นมากมาย มีหนังสือทั้งที่เขียนเอง อาทิ The Golden Peninsula 1977. Thailand: Buddhist Kingdom as Modern Nation-State 1987. และบรรณาธิการ กว่า 15 เล่ม บทความวิชาการนับร้อยชิ้น และงานเขียนเชิงอัตชีวประวัติ ซึ่งเป็นงานเขียนเล่มสุดท้ายของท่าน Impermanence: An Anthropologist of Thailand and Asia 2020.
แม้อาจารย์คายส์จะได้ "สิ้นบุญ" ไปแล้ว ทว่าคุณูปการจากการทำงาน ชีวิตที่ท่านอุทิศให้กับครอบครัว ลูกศิษย์ จนไปถึงมิตรสหาย และที่สำคัญ ผลงานการเขียนอันทรงคุณค่า ที่ช่วยสร้างความเข้าใจที่เรามี เกี่ยวกับสังคมไทยและเพื่อนบ้านอุษาคเนย์ยังอยู่กับพวกเราตลอดไป เหนือสิ่งอื่นใดอาจารย์คายส์ได้ฝากไว้บนโลกนี้ คือความดีงาม ความรัก และความเมตตา ที่ท่านมีให้เสมอต่อผู้คนรอบข้าง ลูกศิษย์ และกัลยาณมิตรของท่าน
ชาร์ล คายส์
ด้วยความเคารพและจดจำ
วสันต์ ปัญญาแก้ว
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ข้อเขียนทั้งหมดทีปรากฏในวารสารสังคมศาสตร์ เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนโดยเฉพาะ มิใช่ทัศนคติของคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือกองบรรณาธิการวารสารสังคมศาสตร์