รายงานจากการสำรวจภาคสนาม กลุ่มชาติพันธุ์จากยูนนานในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า: อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

Authors

  • Wasan Panyagaew

Abstract

อาณาบริเวณปัจจุบันที่ครอบคลุมอำเภอแม่อายและพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ระหว่างเขตจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และรัฐฉาน แถบเมืองสาด เมืองปั่น เมืองโต๋น จนถึงเมืองนาย ในอดีตราว 750 ปีก่อน เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา หรือกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การสร้างรัฐไทสมัยราชวงศ์มังรายมาแต่แรกเริ่ม หลังตั้งเมืองเชียงรายบนฝั่งแม่น้ำกกในปี พ.ศ.1805 พญามังรายได้ขยายอำนาจรัฐไทของพระองค์ขึ้นไปหนเหนือถึงเชียงตุง (ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน) ไปทางหนตะวันออกจรดแม่น้ำของถึงเชียงของ  ส่วนทางตะวันตกได้ขยายอำนาจขึ้นมาตามล้ำน้ำกก และตั้ง “เวียงฝาง” ขึ้นในปี พ.ศ.1817 พญามังรายสถาปนาอำนาจรัฐไทปกครองไพร่พลผู้คนอยู่ในแถบเมืองฝางนานหลายปี จากนั้นจึงเคลื่อนทัพลงมาตีเมืองหริภุญไชย จนยึดเมืองทางเหนือของพวกมอญแห่งนี้ได้สำเร็จ ในปี พ.ศ.1824 และต่อมาจึงได้สร้างเวียงเชียงใหม่ขึ้นบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงในปี พ.ศ. 1835

กล่าวได้ว่าหัวเมืองไทซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณชายแดนซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย (เขตอำเภอแม่จัน แม่อาย ฝาง ลงมาทาง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน) และรัฐฉานของประเทศพม่า (แถบเมืองสาด เมืองโต๋น เมืองปั่น และ เมืองนาย) นั้น แม้ว่าไพร่ฟ้า สามัญชน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนไท ที่(เดิม)ถูกเรียกว่า “เงี้ยว” [1] เป็นกลุ่มเมืองที่ตั้งขึ้นจากการขยายอำนาจและปกครองโดยเจ้าฟ้าผู้นำรัฐไทซึ่งสืบสายสันติวงศ์มาจากพญามังราย และสืบมาจนถึงปลายราชวงศ์มังราย  (ราวพุทธทศวรรษ 2110) ก่อนที่พม่าอังวะจะแผ่ขยายอำนาจเข้ายึดหัวเมืองไทในล้านนา คือเชียงตุง เชียงแสน เชียงของ เชียงราย ลามไปถึง เชียงรุ่ง (สิบสองปันนา) และยึดเชียงใหม่ได้สำเร็จ

ความสำคัญของหัวเมืองเงี้ยวที่ปัจจุบันล้วนตั้งอยู่ในเขตรัฐฉาน (หลังการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับบริติชเบอร์ม่า) ไม่ว่าจะเป็น เมืองสาด เมืองปั่น เมืองโต๋น และเมืองนาย นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การสร้างรัฐล้านนาสมัยต้นราชวงศ์มังราย ดังปรากฏตามตำนานว่าหลังจากตั้งเชียงใหม่ได้ไม่นาน พญามังรายได้ส่งขุนเครือ บุตรคนที่สาม ให้ไปปกครองขึ้นเป็นเจ้าเมืองนาย ต่อมาหลังมังรายสิ้นพระชนม์ เมื่อขุนครามได้ขึ้นสืบต่อราชบัลลังก์เชียงใหม่แทนพระบิดา (และก่อกู่พญามังรายขึ้นกลางเวียงเชียงใหม่)  เป็นพญาไชยสงคราม ได้แต่งตั้งให้ลูกชายคือเจ้าแสนภูขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ส่วนขุนครามเองได้กลับไปกินเมืองเชียงรายตามเดิม ต่อมาขุนเครือได้นำไพร่พลจากเมืองนาย ลงมาแย่งชิงบัลลังก์เชียงใหม่ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ระบุว่า ขุนเครือได้นำทัพชาวเงี้ยว เข้ายึดเชียงใหม่ไว้ได้ จนสถาปนาตนขึ้นเป็นเจ้าเมืองล้านนา (ตำนานบางฉบับจึงมักระบุชื่อขุนเครือเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ด้วย) อย่างไรก็ตามขุนครามได้นำทัพจากเชียงรายลงมาสู้จนบุกเข้ายึดเวียงเชียงใหม่คืนมาได้ และปราบดาพญาแสนภูขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง

 

[1] คำว่า “เงี้ยว” นอกจากจะปรากฏใน “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่” ยังเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยมานาน ก่อนที่ไม่นานมานี้เองที่คำๆ นี้ จะกลายเป็นคำที่มีความหมายเชิงดูถูกเหยียดหยาม จนกระทั่งในประเทศไทยได้ถูกเลิกใช้และพยายามเปลี่ยนไปใช้คำว่า “ไทใหญ่” แทน ส่วนในพม่าและบางส่วนของสิบสองปันนา ยังคงใช้คำว่า “ไต” เรียกชาวไทกลุ่มนี้อยู่ ซึ่งเป็นคำดั้งเดิมที่ใช้กันมาหลายร้อยปี แต่สมัยพญามังราย กล่าวได้ว่าในระบบของการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ไท คำว่า “เงี้ยว” เป็นชื่อเรียกทางชาติพันธุ์ในระบบความสัมพันธ์เดียวกับคำว่า “ลื้อ ขึน โยน” ซึ่งหมายถึงกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไท มีขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ รวมจนถึงภาษาพูดและภาษาเขียนเดียวกัน คือนับถือศาสนาพุทธเถรวาท ส่วนในทางการเมืองอยู่ภายใต้ระบบเจ้าฟ้า ซึ่งจะปกครองเมืองต่างๆ ที่มีผู้นำเป็นทั้งเครือญาติหรือเครือข่ายพันธมิตรในระบบเมือง (Principality) ชาว เงี้ยว ขึน ลื้อ และโยน จึงอาจมีสำนึกทางการเมืองซึ่งยึดโยงกับเจ้าฟ้าผู้ปกครองของตนเท่านั้น ลักษณะของระบบอำนาจการปกครองแบบ “เมือง” ที่แยกเป็นอิสระจากกันมากกว่าที่จะเน้นการรวมศูนย์ น่าจะเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้กลุ่มไท “หัวเมืองเงี้ยว” ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐฉาน ต่อมาได้พัฒนาการแตกแยกแตกต่างออกไปภายใต้อิทธิพลอำนาจประวัติศาสตร์อาณานิคมอังกฤษ (นับจากปลายศตวรรษที่ 19) แม้จะเป็น “พวกไท” กลุ่มเดียวกัน ชาวเงี้ยว ดูเหมือนจะมีอัตลักษณ์วัฒนธรรมแตกต่างไปจากพวก “โยน ลื้อ ขึน” ที่ดูเหมือนว่าจะมีความใกล้ชิดกันมากกว่า ทั้งในทางภาษา ศาสนา และการเมือง ในบทความนี้ผู้เขียนใช้คำว่า “เงี้ยว” ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนไทในเขตรัฐฉานตอนใต้ ในนัยดังกล่าว ไม่ได้มีเจตนาที่จะผลิตซ้ำความไม่เข้าใจ ที่มักนำไปสู่การเปลี่ยนความหมายของคำว่า “เงี้ยว” ที่ปัจจุบันผู้คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นคำที่มีนัยเชิงลบ กระทั่งปรากฏว่าชาวเงี้ยวเองมักจะเลิกเรียกตัวเองว่า “เงี้ยว” และจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนมาเป็น “คนเมือง” ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อย (เช่นในแม่ฮ่องสอน) เรียกตนเองว่า ไต หรือ “ไทใหญ่” แทน ซึ่งอันที่จริงคำว่า “ไทใหญ่” ก็เป็นคำใหม่ที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปลดแอกตนเองในรัฐฉาน ประเทศพม่า ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1960

ปัจจุบัน “ชาวเงี้ยว” ในพม่า ส่วนใหญ่คือคนไทที่เรียกตนเองว่า “ไต” อาศัยอยู่ในเขตรัฐฉานตอนใต้ ขณะที่ชาวโยน ลื้อ ขึน (ในพม่า) นั้นคือคนไทอีกส่วนหนึ่งที่ตั้งบ้านเมืองอยู่ในเขตรัฐฉานตะวันออก (โดยเฉพาะเชียงตุง เมืองยอง) ส่วนในภาคเหนือของประเทศไทยนั้นทั้ง “เงี้ยว ขึน ลื้อ โยน” ได้อาศัยใช้ชีวิตปะปนกับคนพื้นราบกลุ่มอื่นๆ มายาวนานอย่างน้อยตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ต่อมาประมาณหลังทศวรรษ 2490 ได้เริ่มหันมาเรียกตนเองว่า “คนเมือง” จนกลายเป็นชื่อเรียกอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของผู้คนในล้านนา (แถบภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย) ยุคปัจจุบัน

Downloads

Published

2022-12-31

How to Cite

Panyagaew, Wasan. 2022. “รายงานจากการสำรวจภาคสนาม กลุ่มชาติพันธุ์จากยูนนานในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า: อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่”. Social Sciences Academic Journal, Faculty of Social Sciences, Chiang Mai University 34 (2):102-34. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jss/article/view/262939.