การพัฒนาบางด้วนโมเดลในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลบางด้วน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

ผู้แต่ง

  • บัลลังค์ ศรีโฉมงาม, สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย ฺDoctor of Public Health , Krirk U.

คำสำคัญ:

บางด้วนโมเดลส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ, การสนับสนุนทางสังคม, ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2, 3อ.2ส.

บทคัดย่อ

การศึกษาเรื่อง “การพัฒนาบางด้วนโมเดลในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลบางด้วน อำเภอเมืองสมุทรปราการ  จังหวัดสมุทรปราการ” มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบบางด้วนโมเดลในการดูแลพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) เพื่อศึกษาผลของรูปแบบบางด้วนโมเดลในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ก่อนและหลังการพัฒนา 3) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนด้านแบบแผนการดำเนินชีวิต ตามหลัก 3อ.2ส. ก่อนและหลังดำเนินการ

การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 66 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มทดลองใช้รูปแบบบางด้วนโมเดลส่งเสริมสุขภาพตามแนวคิดแบบแผนความเชื่อทางสุขภาพ จำนวน 33 คน และกลุ่มเปรียบเทียบไม่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมบางด้วนโมเดลส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งใช้เวลาในการทดลอง
12 สัปดาห์  มีดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.93 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน  การสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยใช้หลัก 3อ.2ส.ที่ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ  0.86, 0.72 และ 0.70 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test)

ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบโปรแกรมบางด้วนโมเดลในการส่งเสริมสุขภาพที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดแบบแผนความเชื่อทางสุขภาพ ประกอบด้วยการให้ความรู้ การสนับสนุนทางสังคม และการปฏิบัติ 3อ.2ส. มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 8 กิจกรรม และการประเมินผล 2) และ 3) ผลของการใช้โปรแกรม
บางด้วนโมเดลในการส่งเสริมสุขภาพตามแนวคิดแบบแผนความเชื่อทางสุขภาพ พบว่า ค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือด Fasting Blood Sugar และค่าระดับน้ำตาลสะสม HbA1c ของกลุ่มทดลองหลังการทดลองต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบที่ไม่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

เอกสารอ้างอิง

กุสุมา กังหลี. (2557). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้เป็นเบาหวาน ชนิดที่สอง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า. วารสารพยาบาลทหารบก ปีที่ 15 ฉบับที่ 3 (ก.ย. - ธ.ค.) 2557. หน้า 256-268.

ธาริน สุขอนันต์, ณัฐพร มีสุข และ อาภิสรา วงศ์สละ.(2559).ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสวนอำเภอเมืองจังหวัดชลบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรีปีที่ 27 ฉบับที่ 1 กันยายน 2558 - กุมภาพันธ์ 2559. หน้า 93-102.

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางด้วน. (2559). รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2559. สมุทรปราการ. หน้า 17-58.
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางด้วน. (2560). ทะเบียนผู้ป่วยโรคเบาหวาน ปีงบประมาณ 2560. สมุทรปราการ. หน้า 2-24.

Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), pp. 607-610.

Kobayashi A.(2008). Launch of a National Mandatory Chronic Disease Prevention Program in Japan. Disease Management & Health Outcomes.16(4):217-225.

Nolte, E; Knai, C (2015). Assessing chronic disease management in European health systems. Country reports. Technical Report. World Health Organization, Copenhagen, Denmark.

Wilson, T.D. (2000). “Human information behavior.” Informing Science. 3(2), 49-55. Retrieved 1 October, 2010. from https://inform.nu/ Articles/Vol3/v3n2p49-56.pdf

World Bank. (2011). The World Bank Annual Report 2011:Year in Review. Washington, DC. Retrieved from https://openknowledge.worldbank.org/handle/10986/2378

World Health Organization. (2013). Global action plan for the prevention and control of noncommunicable diseases 2013-2020. Geneva: World Health Organization.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-12-16

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย