ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นและความตั้งใจมารับบริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย : กรณีศึกษาสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์และขนาดของอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมของปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อความความเชื่อมั่นและความตั้งใจมารับบริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย โดยประชากรที่ศึกษา คือ ชาวเมียนมาร์ ที่อาศัยอยู่ในเมืองย่างกุ้ง ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จำนวน 200 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และสถิติการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยมีดังนี้ (1) องค์ประกอบของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นและความตั้งใจมารับบริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย ได้แก่ ปัจจัยด้านแพทย์ ประกอบด้วยองค์ประกอบ การเป็นแพทย์เฉพาะทางและประสบการณ์ของแพทย์ ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ประกอบด้วยองค์ประกอบ การมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยและรูปแบบวิธีการรักษา และปัจจัยด้านตราสินค้า ประกอบด้วยองค์ ประกอบ ชื่อเสียงของโรงพยาบาล คุณภาพการรักษาพยาบาล และชื่อเสียงของแพทย์ (2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลที่ทำให้ ชาวเมียนมาร์เกิดความตั้งใจมารับบริการรักษาพยาบาลในประเทศไทยสูงที่สุด ได้แก่ ความเชื่อมั่นในความสามารถด้าน การให้บริการทางการแพทย์ของประเทศไทยต่อชาวต่างชาติ โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นในความสามารถด้าน การให้บริการทางการแพทย์ของประเทศไทยต่อชาวต่างชาติสูงที่สุด ได้แก่ ตราสินค้าของโรงพยาบาล รองลงมา ได้แก่ เทคโนโลยี และแพทย์
Article Details
บทความที่ปรากฏในวารสารนี้ เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน ซึ่งสมาคมนักวิจัยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป การนำเสนอผลงานวิจัยและบทความในวารสารนี้ไปเผยแพร่สามารถกระทำได้ โดยระบุแหล่งอ้างอิงจาก "วารสารสมาคมนักวิจัย"
เอกสารอ้างอิง
สำนักส่งเสริมธุรกิจบริการ. (2555). รายงานธุรกิจบริการรักษาพยาบาล. ค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2556, จาก http://www.ditp.go.th/depthai/attachments/article/doc/55/ 55002841.doc
อัญชนา ณ ระนอง “ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจการเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพของประเทศไทย” วารสารพัฒนบริหารศาสตร์ ปีที่ 51 ฉบับที่ 1/2554 หน้า 47-81
Afzal, H., Khan, M. A., ur Rehman, K. Ali, L. & Wajahat, S. (2010). Consumer's trust in the brand: Can it be built through brand reputation, brand competence, and brand predictability. International
Business Research, 3(1), 43-51. Bureau of Policy and Strategy Ministry of Public Health. (2009). Bangkok: The War Veterans Organization of Thailand Under Royal Patronage of His Majesty The King.
Ehrbeck, T., Guevara, C., and Mango, P. D. (2008). Mapping the Market for Medical Travel. Retrieved February 4, 2013. From http://www.mckinseyquarterly.com/Mapping the market for travel 2134
Gan, Lydia L, and Frederick, James R. 2011. Consumers' Attitudes toward Medical Tourism. The University of North Carolina. (May 9, 2011). Available at SSRN: http://ssrn.com/abstract=1837062
Guffey, T & Yang, P, Q, (2012). Trust in Doctors Are African Americans Less Likely to Trust Their Doctors Than White Americans?. Retrieved August 30, 2013. From http://sgo.sagepub.com/content/ 2/4/2158244012466092. full
Jagyasi, P. (2011). Dr. Prem's Guidbook Medical Tourism. CreateSpace: Seattle.
Louis, D., and Cindy, L. (2010). Impact of brand personality on three major relational consequences (trust, attachment, and commitment to the brand).
The Journal of Product and Brand Management 19.2 (2010): 114-130. Peters, C. P., and Sauer, K M. (2011). A Survey of Medical Tourism Service Providers. Journal of Marketing Development and Competitiveness. 5(3), 117-126.
ReportLink (2009). Asia Medical Tourism Analysis. Retrieved August 1, 2011, from http://www.report linker.com/p0149565/Asia-Medical-Tourism Analysis .html
Rosenthal, M. (2004). Older patients' trust and disrupted trust doctors and health plans: Determinants and implications. Retrieved August 30, 2013. From http://search.proquest.com/docview/305120872?accountid=32092. Rose, M. (2010). Thailand Top Medical Tourism Destination. Retrieved August 1, 2011. from http://med blogcontest.com/blog/4/?p=50
Stolley, K., and Watson, S. (2012). Medical Tourism. California: ABC-Clio. Woodman, Josef. (2008). Patients Beyond Borders (2 ed.). New York: Healthy Travel Media.
World Health Organization. (1997). Measuring Overall Health System Performance for 191 Countries. Retrieved February 16, 2013, from www.who.int/healthinfo/paper30.pdf
