พฤติกรรมการจัดการทางการเงินและแนวทางการดำรงชีวิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของคน Gen X ในกรุงเทพมหานคร

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการจัดการทางการเงินและแนวทางการดำรงชีวิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล  เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ศึกษาในครั้งนี้ประกอบด้วย 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเกิดในระหว่าง พ.ศ. 2508 -2522 โดยมีอายุตั้งแต่ 42 – 56 ปี และอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างได้ 384 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ใช้การสุ่มแบบอย่างง่าย (simple sampling random) สถิติเชิงพรรณนาที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติอนุมานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression) ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการจัดการทางการเงินและแนวทางการดำรงชีวิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล พบว่า พฤติกรรมการจัดการทางการเงินและแนวทางการดำรงชีวิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ร่วมกันอธิบายการเปลี่ยนแปลงของความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคลโดยรวมได้ร้อยละ 8.3 พฤติกรรมการจัดการทางการเงินและแนวทางการดำรงชีวิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ร่วมกันอธิบายการเปลี่ยนแปลงของความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคลด้านการวางแผนการบริโภค อุปโภคที่มีประสิทธิภาพได้ร้อยละ 57.20 ซึ่งพฤติกรรมการจัดการทางการเงินและแนวทางการดำรงชีวิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ร่วมกันอธิบายการเปลี่ยนแปลงของความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ด้านการบริหารความเสี่ยงและการวางแผนประกันภัย ได้ร้อยละ 67.00 โดยมีความน่าเชื่อถือได้ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 พฤติกรรมการจัดการทางการเงินและแนวทางการดำรงชีวิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ปัจจัยที่ส่งผลประกอบไปด้วย หลักปรัชญาเศรษฐกิจของพอเพียง หลักลำดับความต้องการ หลักการเลือกอย่างมีเหตุผล สมการมีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 57 และสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้

 = 0.913+.302 ( ) + .123 ( ) + .623 ( )