การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่เสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ก่อนเรียนและหลังเรียน 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาโดยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 5) ได้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่เสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ (วังชมภูวิทยาคม) อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน โดยได้มาจากสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จากนั้นจับฉลากเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม อย่างละ 1 ห้อง ดังนี้ (1) กลุ่มทดลอง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 จำนวน 38 คน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD และ(2) กลุ่มควบคุม คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 จำนวน 38 คน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่องตรรกศาสตร์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test dependent) และการทดสอบค่าที (t-test for independent samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินคุณภาพของแผนกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่เสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กับ การจัดการเรียนรู้แบบปกติ เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.94 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.21 และผลการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4มีค่าประสิทธิภาพ /เท่ากับ 80.33/80.70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา เรื่องตรรกศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ก่อนและหลังเรียน พบว่า ค่าเฉลี่ยระหว่างผู้เรียนโดยการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สูงกว่าการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะ
การแก้ปัญหา เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการ จัดการเรียนรู้แบบปกติ ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ5) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่เสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ มีกระบวนการเรียนจัดการเรียนรู้ 3 ขั้นตอน คือ(1) ขั้นนำ (2) ขั้นสอน มีขั้นตอนการสอน 5 ขั้น ได้แก่ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นการทำงานกลุ่ม ขั้นที่ 3 ขั้นการทดสอบ ขั้นที่ 4 ขั้นการตรวจคำตอบของแบบทดสอบ ขั้นที่ 5 ขั้นการรับรองผลงาน และ(3) ขั้นสรุป
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กัญจนา จันทะไพร. 2559. การพัฒนารูปแบบการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวทฤษฏีการสร้างความรู้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม. KKU Res J HS (GS). 3, 3 (September – December 2015): 1-10.
นภารัตน์ นามบุญลา.2556. การคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องตัวประกอบของจำนวนนับของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนางโทพัฒนา จากการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ (STAD). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ.
ธีรวัฒน์ แสงศรี และบรรทม สุระพร. 2560. การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค STAD. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. อุบลราชธานี: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
วรีรัตน์ พันธุมะโน.2556. การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องกำหนดการเชิงเส้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD. วิทยานิพนธ์. (หลักสูตรและ การสอน) : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2556. ผลการประเมิน PISA 2012 คณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ บทสรุปสำหรับผู้บริหาร. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
สิทธิพล อาจอินทร์. 2554. การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนวิทยาศาสตร์. วารสารศึกษาศาสตร์ ฉบับวิจัยบัณฑิตศึกษา. 5, 3 (กรกฎาคม - กันยายน 2554):
-168.
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงศึกษาธิการ. 2560. สรุปการประชุมแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา.
อัจฉราพรรณ อาโน. 2555. การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์. (หลักสูตรและการสอน) : มหาวิทยาลัย
ราชภัฏเชียงราย.