การสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับการนวดเพื่อรักษาปัญหาสุขภาพ

ผู้แต่ง

  • สมพร จิตรัตนพร, ธนวันต์ ศรีอมรรัตนกุล

คำสำคัญ:

สังเคราะห์งานวิจัย, การนวด, ปัญหาสุขภาพ

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้  มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับการนวดเพื่อรักษาปัญหาสุขภาพ  ในช่วงปี พ.ศ. 2540-2560 โดยสังเคราะห์งานวิจัยด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) จำนวน 25 เรื่อง เครื่องมือวิจัย คือ แบบสังเคราะห์งานวิจัยที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสำรวจด้วยการจดบันทึก ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป และข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาที่ใช้ในการสังเคราะห์  ผลการสังเคราะห์งานวิจัย สรุปได้ ดังนี้  

ส่วนที่ 1  ข้อมูลทั่วไปของงานวิจัย  พบว่า  ปีที่มีการพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับการนวดเพื่อรักษาปัญหาสุขภาพมากที่สุด คือ ปี พ.ศ. 2546    สาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการนวดเพื่อรักษาปัญหาสุขภาพมากที่สุด คือสาขาวิชากายภาพบำบัด สถาบันที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับการนวดเพื่อรักษาปัญหาสุขภาพมากที่สุด คือ  มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ส่วนที่ 2  ผลการสังเคราะห์ข้อมูลพบวัตถุประสงค์การวิจัยส่วนใหญ่  คือศึกษาผลของการนวด และเพื่อเปรียบเทียบผลของการนวด ในจำนวนที่เท่าๆ กัน คิดเป็นร้อยละ 96.00  รูปแบบการวิจัยเป็นเชิงกึ่งทดลอง คิดเป็นร้อยละ 92.00  ตัวแปรต้น คือ การนวดไทย  คิดเป็นร้อยละ 36.00  ตัวแปรตาม คือ ด้านความรู้สึก และองศาการเคลื่อนไหวของข้อ ในจำนวนที่เท่า ๆ กัน คิดเป็นร้อยละ 40.00 เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง  คิดเป็นร้อยละ 60.00 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง  คือโปรแกรมการนวดไทย คิดเป็นร้อยละ 60.00  สถิติที่ใช้มากที่สุดคือ paired t-test คิดเป็น ร้อยละ 60.00  ผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยทุกข้อ คิดเป็นร้อยละ 80.00 และพบว่า การนวด มีผลต่ออวัยวะที่ต้องการศึกษา โดยมีผลต่ออาการปวดกล้ามเนื้อ คิดเป็นร้อยละ 88.00 รองลงมาคือ การลดความเครียด อารมณ์และความเหนื่อยล้า ในจำนวนที่เท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 28.00  ปัญหาสุขภาพที่รักษาด้วยการนวด พบว่า  ส่วนใหญ่ คือข้อเข่าเสื่อมชนิดปฐมภูมิ คิดเป็นร้อยละ 12.00 รองลงมาคือ ไหล่ติด ปวดต้นคอ อาการปวดกล้ามเนื้อ เบาหวาน มะเร็ง ปวดศีรษะจากความเครียดแบบเรื้อรังและไมเกรน ในจำนวนที่เท่าๆ  กัน คิดเป็นร้อยละ 8.00  รูปแบบการนวดเป็นการนวดไทยแบบราชสำนัก  คิดเป็นร้อยละ 36.00 รองลงมาคือ การนวดไทยประยุกต์  คิดเป็นร้อยละ 12.00  เป็นการนวด 1 ครั้ง  ใน 1 วัน  คิดเป็นร้อยละ 52.00  เวลาในการนวด 30 นาที/ ครั้ง  คิดเป็นร้อยละ 56.00  รองลงมา   คือ 60 นาที/ ครั้ง  คิดเป็นร้อยละ 12.00

เอกสารอ้างอิง

กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย. (2556). คู่มือดูแลสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.

นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2542). การวิเคราะห์อภิมาน META-ANALYSIS. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

เรณู มีชนะ. (2544). เปรียบเทียบผลการนวดไทยประยุกต์กับการใช้ยาพาราเซตามอล ในบุคคลที่มีอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียด สาขาวิชาพยาบาลสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล.

รัตนา ทรัพย์บำเรอ. (2559). ระเบียบวิธีวิจัยทางสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.

ลดาวัลย์ นิชโรจน์ และคณะ. (2540). ที่ศึกษาเกี่ยวกับการนวดกดจุดฝ่าเท้าต่อความเครียดและความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ สถาบันประสาทวิทยา. ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.

วาทินี ศรีไทย. (2548). ผลของการจัดการกับอาการร่วมกับการนวดแผนไทยต่อความเหนื่อยล้าของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม. พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาการพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อุทัย โสธนะพันธุ์.( 2561). กลไกการออกฤทธิ์ของสุคนธบำบัดต่อระบบประสาทส่วนกลาง.บทความฟื้นฟูวิชาการออนไลน์สำหรับการศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์. ภาควิชาเภสัชเวท. คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยศิลปากร.

Jacob, M. (1960). Massage for the relief of pain: Anatomical Physiological Considerations. the Physical Therapy Review, 40: 95-105.

White, J.A. (1988, May). Touch with Intent: Therapeutic Massage. Holistic Nursing Practice.2: 63-67.

Salvo, S.G. (2003). “ Massage Physiology : Effects, Indications, Contraindications and Endangerment Sites,” in Massage Therapy Principles and Practice. 2 nd ed. United State of America : Elsevier Science, .

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-06-28

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย