ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาจิตวิทยาเชิงบวกและความรอบรู้ทางสุขภาพ ที่มีต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง
คำสำคัญ:
จิตวิทยาเชิงบวก, ความรอบรู้ทางสุขภาพ, กลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรังบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาจิตวิทยาเชิงบวกที่มีต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบการสุ่มอย่างง่าย คัดเลือกพื้นที่วิจัยในอำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี 2 พื้นที่ แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับการคัดกรองจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโดยกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานมีค่าน้ำตาลปลายนิ้ว 100-125 mg% กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง มีระดับความดันระหว่าง 120-139 / 80-89 mmHg และเป็นผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกิน มากกว่าหรือเท่ากับ 23 ขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 50 คน กลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาจิตวิทยาเชิงบวก ประกอบไปด้วย การพัฒนาจิตวิทยาเชิงบวกร่วมกับการพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพ ส่วนกลุ่มควบคุมพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วย สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนซ้ำ
ผลการศึกษาพบปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทดลองกับช่วงเวลาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01)
โดยพบว่า เมื่อวัดในช่วงเวลาหลังการทดลองและติดตามผลคะแนนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มทดลองยังคงสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งแสดงว่าโปรแกรมฯมีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและหลังจากเข้าร่วมโปรแกรม 4 เดือน ก็พบว่า กลุ่มตัวอย่างยังมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพข้อเสนอแนะโปรแกรมจิตวิทยาเชิงบวกควรนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน และนำชุดความรู้ที่ได้ไปพัฒนาต่อยอดเป็นคู่มือสำหรับการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ. (2563). รายงานสถานการณ์โรค NCDs เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.
สุดารัตน์ ตันติวิวัทน์. (2560). จิตวิทยาเชิงบวก: การพัฒนา ประยุกต์ ความท้าทาย. วารสารพฤติกรรมศาสตร์เพื่อการพัฒนา, 9(1), 277-290.
ประไพพิศ สิงหเสม, พอเพ็ญ ไกรนรา และวรารัตน์ ทิพย์รตัน์. (2562). ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพตาม 3อ.2ส. ของผู้สูงอายุ ตำบลหนองตรุด จังหวัดตรัง. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุตรดิตถ์, 11(1), 37-51.
วิชัย เอกพลากร, หทัยชนก พรรคเจริญ และวราภรณ์ เสถียรนพเก้า. (2562). การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.
Bas Geboers, Sijmen A. Reijneveld, Carel J.M. Jansen & Andrea F. de Winter. (2016). Health Literacy Is Associated With Health Behaviors and Social Factors Among Older Adults: Results from the LifeLines Cohort Study. Journal of Health Communication, 21(sup2), 45-53, DOI: 10.1080/10810730.2016.1201174.
Boehm, J. K., Peterson, C., Kivimaki, M., & Kubzansky, L. (2011). A Prospective Study of Positive Psychological Well-Being and Coronary Heart Disease. Health Psychology, 30(3), 259–267.
Nutbeam D. (2008). The evolving concept of health literacy. Social Science and Medicine, 6(7), 2072-78.
World health organization. (2017). Health literacy. The solid facts. European journal of Public, 24(1), 1880-87.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารวิชาการ วิจัย และนวัตกรรม มสธ. (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) (ออนไลน์)

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.