การพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

ผู้แต่ง

  • ละเอียด วงศ์ภูมิเมือง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  • อารยา ปิยะกุล มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

คำสำคัญ:

โปรแกรมฝึกอบรม, ทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ, ทักษะกระบวนการทางสังคม, ทักษะกระบวนการคิด

บทคัดย่อ

         บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และ 2) ศึกษาผลการใช้โปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ใช้รูปแบบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (R&D) ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาผลการใช้โปรแกรมฝึกอบรม คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 30 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ (MANOVA) ด้วยสถิติทดสอบ Hotelling’s T2 ผลการวิจัยพบว่า 1) โปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ มีจำนวน 14 กิจกรรม โดยส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ทักษะกระบวนการทางสังคม (ทักษะความร่วมมือ ทักษะการใช้มุมมอง และทักษะการใช้กฎเกณฑ์ทางสังคม) และทักษะกระบวนการคิด (ทักษะการควบคุมงาน และทักษะการเรียนรู้และการสร้างองค์ความรู้) ผลการประเมินความเหมาะสมของโปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ มีคะแนนเฉลี่ยแต่ละกิจกรรมอยู่ระหว่าง 4.2 - 5.0 และมีคะแนนเฉลี่ยรวมทุกกิจกรรมเท่ากับ 4.58 มีระดับความเหมาะสมของโปรแกรมฝึกอบรมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) ผลการใช้โปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรมมีคะแนนเฉลี่ยของทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือก่อนการทดลอง (gif.latex?\bar{x} = 44.33) หลังการทดลอง (gif.latex?\bar{x} = 46.97) จากการทดสอบสมมติฐานทางสถิติ คะแนนเฉลี่ยของทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

เอกสารอ้างอิง

ทิศนา แขมมณี. (2559). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 20). กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). PISA วัดอย่างไร. เรียกใช้เมื่อ 15 มกราคม 2561 จาก https://pisathailand.ipst.ac.th/issue-2018-25/

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2563). ความสัมพันธ์ในโรงเรียนกับผลการประเมินการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ. เรียกใช้เมื่อ 15 มกราคม 2561 จาก https://drive.google.com/file/d/ 1JipbFWcPUUZ-iSnGRap0g_ TRvNGee3z8/view

สุรางค์ โค้วตระกูล. (2559). จิตวิทยาการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 12). กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

เอกรินทร์ อัชชะกุลวิสุทธิ์. (2557). การประเมินด้านการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ PISA 2015. นิตยสาร สสวท, 43(191), 37-41.

Anna, D. et al. (2011). Ten skills for the future workforce Future Work Skills 2020. California: University of Phoenix Institute.

Friedrich, H. et al. (2015). A Framework for Teachable Collaborative Problem-Solving Skills. In P. Griffi n & E. Care (Eds.), Assessment and teaching of 21st century skills: Methods and approaches (pp. 37-56). Dordrecht: Springer.

Greiff, S. et al. (2013). Perspectives on problem solving in cognitive research and educational assessment: analytical, interactive, and collaborative problem solving. Journal of Problem Solving (The), 5(2), 71-91.

Johnson, D. W. et al. (1994). The nuts and bolts of cooperative learning. Edina, Minnesota: Interaction Book Company.

Khoo, Y. Y. (2015). Collaborative Problem Solving Promotes Students’ Interest. Economics and Economic Education Research, 16(1), 158-167.

OECD. (2013). PISA 2015 Draft Collaborative Problem Solving Framework. Paris: OECD.

OECD. (2017). PISA 2015 Assessment and Analytical Framework Science, Reading, Mathematic, Financial Literacy and Collaborative Problem Solving. Paris: OECD.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

11/29/2021

รูปแบบการอ้างอิง

วงศ์ภูมิเมือง ล., & ปิยะกุล อ. . (2021). การพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 6(11), 114–126. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSBA/article/view/246283

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย