การพัฒนาหลักสูตรวรรณกรรมเพื่อเสริมสร้างการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

ผู้แต่ง

  • ธนชพร พุ่มภชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • ดนุลดา จามจุรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • จิตรา ดุษฎีเมธา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • เปรม สวนสมุทร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำสำคัญ:

หลักสูตรวรรณกรรม, การเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น, นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

บทคัดย่อ

          บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาคุณลักษณะการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2) พัฒนาหลักสูตรวรรณกรรมเพื่อเสริมสร้าง การเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3) ประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรวรรณกรรมเพื่อเสริมสร้างการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นการวิจัยและพัฒนา ดำเนินการ 3 ระยะ ระยะที่ 1 สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ ได้แก่ การเข้าใจความรู้สึกและการแสดงออกของผู้อื่น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และการสนองตอบอย่างเหมาะสม ระยะที่ 2 พัฒนาหลักสูตรฯ ขึ้นจากทฤษฎีการเรียนรู้คอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม โดยประยุกต์แนวคิดการวิธีสอนวัฏจักรวรรณกรรม การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง และการเรียนรู้เชิงประจักษ์เพื่อความฉลาดรู้ จากนั้นนำไปศึกษานำร่อง ผลการวิจัยระยะนี้พบว่า หลักสูตรฯ ประกอบด้วย เป้าหมายของหลักสูตร หน่วยการเรียนรู้ 4 หน่วย ได้แก่ ภาพยนตร์ เรื่องสั้น นวนิยาย และกวีนิพนธ์ โดยแต่ละหน่วยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การกำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ตามความสนใจของนักเรียน 2) การเรียนรู้วรรณกรรมโดยประยุกต์แนวคิดวัฏจักรวรรณกรรม 3) การเชื่อมโยงความรู้เพื่อประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ และ 4) การสะท้อนคิด และการประเมินผลการเรียนรู้ ระยะที่ 3 นำหลักสูตรไปใช้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 26 คน เพื่อประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรฯ โดยใช้ Repeated - Measure ANOVA พบว่า พัฒนาการการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดสูงขึ้นตามช่วงระยะเวลาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันจากการวัดซ้ำอย่างน้อย 2 ช่วงระยะเวลา (F = 132.132, df = 2.245, 56.134, p = .00)

เอกสารอ้างอิง

กองบรรณาธิการ The Standard Team. (2561). เด็กรังแกกันไม่ใช่เรื่องเล็ก ย้อนดูสถิติพบไทยติดอันดับ 2 เด็กรังแกกันในโรงเรียน มีเหยื่อปีละ 6 แสนคน. เรียกใช้เมื่อ 31 มกราคม 2561 จาก https://thestandard.co/bullying-at-school/

ทัศนีย์ สุริยะไชย. (2554). ความสัมพันธ์ระหว่างการตระหนักรู้ในตนเองกับการร่วมรู้สึกในวัยรุ่น. ใน สารนิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาจิตวิทยาพัฒนาการ. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

พรรณรอง รัตนไชย. (2555). สภาพ ปัญหาและการนำเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน วรรณคดีและวรรณกรรม ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16. ใน วิทยานิพนธ์ครุศาตรมหาบัณฑิต สาขาการสอนภาษาไทย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

มนตรี อินตา. (2562). SOFT SKILLS: ทักษะที่จำเป็นสู่ความเป็นมืออาชีพของครูยุคใหม่. วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์, 20(1), 153-167.

รัชนีวรรณ วณิชย์ถนอม. (2548). การปรับใช้สมรรถนะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์. วารสารข้าราชการ, 50(2), 10-24.

รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (2549). สุนทรียรสแห่งวรรณคดี. กรุงเทพมหานคร: ณ เพชร สํานักพิมพ์.

วิไลลักษณ์ พงษ์โสภา. (2555). สุขวิทยาจิต. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศรีเรือน แก้วกังวาล. (2540). จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย (เล่ม 2) วัยรุ่น-วัยสูงอายุ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2556). แนวทางการแก้ปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษา. กรุงเทพมหานคร: พริกหวานกราฟฟิค.

สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน. (2557). ปลุกการสอนให้มีชีวิตสู่ห้องเรียนในศตวรรษใหม่. ใน เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ “อภิวัฒน์การเรียนรู้...สู่จุดเปลี่ยนประเทศไทย”. สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน.

สิทธา พินิจภูวดล และนิตยา กาญจนวรรณ. (2520). ความรู้ทั่วไปทางวรรณกรรมไทย. กรุงเทพมหานคร: ดวงกมล.

สุพาพร เทพยสุวรรณ. (2651). ทำยังไงจะรู้จักรู้ใจลูกวัยรุ่น. เรียกใช้เมื่อ 20 ตุลาคม 2561 จาก https://mgronline.com/qol/detail/9610000100087.

Blasco, P.G & Moreto, G. (2012). Teaching Empathy through Movies: Reaching Learners Affective Domain in Medical Education. Journal of Education and Learning, 1(1), 22-34.

Chen, L. L. (2016). Impacts of flipped classroom in high school health education. Journal of Educational Technology Systems, 44(4), 411–420.

Dogan, B., & Kaya-Tosun, D. (2020). An effective method in improving social skills: Literature circles. International. Journal of Educational Methodology, 6(1), 199-206.

Eaglestone, R. (2019). Literature: Why It Matters. Cambridge: Polity Press.

Fisher, D. B. et al. (2016). Visible Learning for Literacy, Grades K-12: Implementing the Practices That Work Best to Accelerate Student Learning. California: Corwin Publishers.

Hodges, G. C. (2010). Reasons for reading: why literature matters. Literacy, 44(2), 60 - 68.

Perry, M.S. (2019). Literature for the Twenty-first Century: Developing Multimodality and Entrepreneurial Skills through Literature-Based Assessments. Kritika Kultura, 33(5), 428 - 454.

Taylor, E. W. (2009). Fostering transformative learning Transformative learning in practice. San Francisco: Jossey-Bass.

World Health Organization. (1997). Life Skill Education for Children and Adolescents in Schools. Switzerland: Programme on Mental Health.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

03/25/2021

รูปแบบการอ้างอิง

พุ่มภชาติ ธ., จามจุรี ด. ., ดุษฎีเมธา จ. ., & สวนสมุทร เ. . (2021). การพัฒนาหลักสูตรวรรณกรรมเพื่อเสริมสร้างการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 6(3), 436–454. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSBA/article/view/247171

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย