ผลของโปรแกรมการนวดเต้านมด้วยตนเองต่อการไหลของน้ำนมในมารดาผ่าตัดคลอด
คำสำคัญ:
โปรแกรมการนวดเต้านมด้วยตนเอง, การไหลของน้ำนม, มารดาผ่าตัดคลอดบทคัดย่อ
บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนมในมารดาผ่าตัดคลอดระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการนวดเต้านมด้วยตนเอง กับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาผ่าตัดคลอดที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ คลอด และพักฟื้นในระยะหลังคลอดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคใต้ เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 34 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 17 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการนวดเต้านมด้วยตนเอง กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ มีวิธีดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกการนวดเต้านมด้วยตนเองและแบบประเมินการไหลของน้ำนม เครื่องมือผ่านการตรวจสอบหาความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงด้านเนื้อหา เท่ากับ .80 ทดสอบความเที่ยงของเครื่องมือ โดยทดลองใช้กับมารดาผ่าตัดคลอด จำนวน 20 ราย ได้ค่าเท่ากับ .90 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแมนวิสนีย์ยูเทสผลการวิจัย พบว่า มารดาผ่าตัดคลอดที่ได้รับโปรแกรมการนวดเต้านมด้วยตนเองมีคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนมหลังทดลองในชั่วโมงที่ 24 และ 48 สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = 3.493 p = 0.000), (Z = 3.431 p = 0.001) ตามลำดับ สรุปได้ว่าการนวดเต้านมด้วยตนเองหลังผ่าตัดคลอดของมารดามีผลต่อการไหลของน้ำนมช่วยให้น้ำนมไหลดีขึ้น จึงควรนำโปรแกรมการนวดเต้านมด้วยตนเองมาประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาผ่าตัดคลอดต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กนกวรรณ โคตรสังข์ และคณะ. (2559). ผลของโปรแกรมการกระตุ้นการหลั่งน้ำนมต่อระยะเวลาการเริ่มไหลของน้ำนม ระยะเวลาการมาของน้ำนมเต็มเต้า และการรับรู้ความสามารถในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาหลังผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 24(1), 13-26.
กฤษณา ปิงวงศ์ และคณะ. (2563). ประสิทธิผลของการนวดเต้านมต่อการคัดตึงเต้านมในมารดาที่ให้นมบุตร: การทบทวนอย่างเป็นระบบ. พยาบาลสาร, 47(2), 143-155.
จิรนันท์ วีรกุล. (2559). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่าง เดียวนาน 6 เดือน ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร. ใน การประชุมวิชาการระดับชาติ “นเรศวรวิจัย” ครั้งที่ 12: วิจัยและนวัตกรรมกับการพัฒนาประเทศ (กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ) (หน้า 46-57). พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.
นวพร มามาก และกมลรัตน์ เทอร์เนอร์. (2559). บทบาทพยาบาลกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสามีหรือญาติเพื่อความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. วารสารกองการพยาบาล, 43(3), 114-126.
มาลีวัล เลิศสาครศิริ. (2562). การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด: บทบาทพยาบาลและครอบครัว. วารสารการพยาบาลและการศึกษา, 12(1), 1-13.
ลาวัลย์ ใบมณฑา และคณะ. (2559). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อความสามารถในการให้นมและการไหลของน้ำนมในมารดาที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง. พยาบาลสาร, 42(4), 65-75.
ศศิกานต์ กาละ. (2561). การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่: บทบาทพยาบาล. สงขลา: ชาญเมืองการพิมพ์.
เสาวลักษณ์ ค้าของ และมยุรี นิรัตธราดร. (2560). ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาวัยรุ่นในชุมชน. วารสารสาธารณสุขศาสตร์, 47(1), 31-43.
หน่วยทารกแรกเกิดโรงพยาบาลวิชัยยุทธ. (2561). การนวดเต้านมมารดาหลังคลอด. เรียกใช้เมื่อ 12 มีนาคม 2564 จาก https://www.vichaiyut.com/th/health /informations/breast-feeding-postpartum/
Lawrence, R. A. & Lawrence, R. M. (2016). Breastfeeding: A guide for the medical profession. (8 th ed). United States of America: Elsevier.
Tucker, C. M. et al. (2016). Infant feeding experiences among teen UNECEF. Infant and Yong Child feeding. Retrieved Jun 15, 2021, from http://data.unicef.org/topic/nutrition/infant-and-yong-child-feeding/




