การส่งบทความต้นฉบับ
การส่งบทความต้นฉบับ
การส่งต้นฉบับบทความของผู้เขียนไปยัง วารสารมานุษวิทยาเชิงพุทธ (JBA) ผู้เขียนต้องปฏิบัติตามแนวปฏิบัติในการส่งต้นฉบับบทความในช่องทางออนไลน์ ขั้นตอนแรกคือ ผู้เขียนต้องเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ JBA สำหรับลงทะเบียน โดยผู้เขียนคลิกที่คำว่า Register หลังจากนั้นผู้เขียนทำตามขั้นตอนแต่ละขั้นตอนในการสร้างและอัพโหลดไฟล์ต่าง ๆ ของผู้เขียน ผู้เขียนพึงระลึกไว้ว่า ไฟล์ต้นฉบับบทความดั้งเดิมที่ถูกใช้ในขั้นตอนพิจารณาจะยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้ในกระบวนการอื่น ๆ ต่อไป หลังจากต้นฉบับบทความได้รับการยอมรับเพื่อตีพิมพ์แล้ว
การติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการส่งต้นฉบับบทความ รวมไปถึงการแจ้งเตือนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของบรรณาธิการและการส่งคำร้องแก้ไขต้นฉบับบทความ ทีมบรรณาธิการจะดำเนินการผ่านอีเมลและหน้าเว็บไซต์ของผู้เขียน การส่งต้นฉบับบทความในช่องทางออนไลน์เช่นนี้ มีส่วนช่วยในการลดความจำเป็นในการใช้กระดาษ และทำให้ระบบการส่งต้นฉบับบทความและระบบพิจารณาบทความมีความลื่นไหลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รูปแบบต้นฉบับบทความ
วารสารมานุษวิทยาเชิงพุทธ (JBA) เผยแพร่บทความเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทย รวมถึงรูปแบบที่มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รูปแบบการจัดทำต้นฉบับภาษาอังกฤษ
1. ต้นฉบับบทความต้องมีจำนวนคำไม่เกิน 8,000 คำ ใช้เค้าโครงหน้ากระดาษขนาด A4 (ไม่รวมเอกสารอ้างอิง) พิมพ์บนกระดาษ หน้าเดียว ใช้ตัวอักษรแบบ THSarabunPSK ทั้งฉบับ ตั้งค่าหน้ากระดาษโดยเว้นขอบบน ขอบซ้าย 1.5 นิ้ว และขอบขวา ขอบล่าง 1 นิ้ว กำหนดระยะห่างระหว่างบรรทัดเท่ากับ 1 pt และเว้นบรรทัดระหว่างแต่ละหัวข้อ ผู้เขียนต้องนำเสนอรูปภาพที่คมชัดในต้นฉบับ และรูปภาพที่นำมาแสดงทั้งหมดต้องระบุหมายเลข เช่น “Figure 1...” ไว้ด้านล่าง โดยตั้งค่าเป็นตัวหนา รูปภาพที่นำมาแสดงทั้งหมดต้องบรรยายรายละเอียดที่ครบถ้วนและเข้าใจได้ โดยผู้อ่านไม่จำเป็นต้องอ่านข้อความซ้ำ ผู้เขียนต้องระบุลำดับของรูปภาพทั้งหมดในต้นฉบับ และคำอธิบายต้องกระชับและสอดคล้องกับรูปภาพที่นำมาแสดง ผู้เขียนต้องนำเสนอตารางที่ดูคมชัด และผู้เขียนต้องใส่หมายเลขไว้ด้านบนของตาราง เช่น “Table 1...” พร้อมทั้งชื่อรูปภาพและชื่อตาราง และรายละเอียดทั้งหมดที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ
2. ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ
3. ข้อมูลของผู้เขียนภาษาอังกฤษ
3.1 ภาษาอังกฤษ ระบุชื่อ สังกัดหรือหน่วยงาน จังหวัด และประเทศ
3.2 ระบุ E-mail ของผู้ประสานงานบทความหรือผู้เขียนหลัก
4. มีมีบทคัดย่อ (Abstract) จำนวน 500-600 คำต่อบทคัดย่อ ตามหลักไวยากรณ์ของภาษา
5. กำหนดคำสำคัญ (Keywords) 3-5 คำ ภาษาอังกฤษ โดยระบุเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่างคำ
6. การเรียงลำดับหัวข้อ กำหนดให้หัวข้อใหญ่ พิมพ์ชิดขอบด้านซ้าย 18 pt ตัวหนา หัวข้อย่อยหลัก 16 pt ตัวหนา นำเสนอบรรทัดถัดไปเว้นระยะห่างจากหัวข้อใหญ่ 1 tab เมื่อขึ้นหัวข้อใหญ่ ให้เว้นระยะห่าง 1 บรรทัด
7. การใช้ตัวเลข คำย่อ และวงเล็บ ใช้ตัวเลขอารบิกทั้งฉบับ ใช้คำย่อที่เป็นสากลเท่านั้น ระบุคำเต็มไว้ในครั้งแรก การวงเล็บภาษาอังกฤษ ควรใช้ดังนี้ (Student-centered learning)
รูปแบบการจัดทำต้นฉบับภาษาไทย
- ต้นฉบับบทความต้องมีจำนวนคำไม่เกิน 8,000 คำ ใช้เค้าโครงหน้ากระดาษขนาด A4 (ไม่รวมเอกสารอ้างอิง) พิมพ์บนกระดาษ หน้าเดียว ใช้ตัวอักษรแบบ THSarabunPSK ทั้งฉบับ ตั้งค่าหน้ากระดาษโดยเว้นขอบบน ขอบซ้าย 1.5 นิ้ว และขอบขวา ขอบล่าง 1 นิ้ว กำหนดระยะห่างระหว่างบรรทัดเท่ากับ 1 pt และเว้นบรรทัดระหว่างแต่ละหัวข้อ
- ชื่อเรื่องต้องมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
- ข้อมูลของผู้เขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
3.1 ภาษาไทย ระบุชื่อ สังกัดหรือหน่วยงาน จังหวัด และประเทศ
3.2 ภาษาอังกฤษ ระบุชื่อ สังกัดหรือหน่วยงาน จังหวัด และประเทศ
3.3 ระบุ E-mail ของผู้ประสานงานบทความหรือผู้เขียนหลัก
- บทคัดย่อภาษาไทยต้องมีจำนวนคำตั้งแต่ 500-600 คำ และบทคัดย่อภาษาอังกฤษต้องนำเสนอให้สอดคล้องกับบทคัดย่อภาษาไทย โดยบทความภาษาไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบทคัดย่อภาษาอังกฤษที่มีการขยายเนื้อความ บทคัดย่อต้องนำเสนอความเป็นมา วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย ผลการวิจัยที่นำเสนอตามลำดับ ความเกี่ยวข้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พุทธธรรม หรือการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และบทสรุป ทางวารสารจำเป็นต้องมีบทคัดย่อที่ระบุข้อมูลที่ถูกต้องอย่างชัดเจน มีการใช้ไวยากรณ์และการสะกดคำที่ถูกต้อง โดยต้องนำเสนอรายละเอียดดังนี้
4.1 บทคัดย่อภาษาไทย นำเสนอเกี่ยวกับ ความเป็นมาและวัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย ผลการวิจัย ความเกี่ยวข้องกับหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา สรุป และคำสำคัญ
4.2 บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (Abstract) นำเสนอ Background and Objectives, Methodology, Main Results, Involvement to Buddhadhamma, Conclusions, Keywords
- กำหนดคำสำคัญ (Keywords) 3-5 คำ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยระบุเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่างคำ
- การเรียงลำดับหัวข้อ กำหนดให้หัวข้อใหญ่ พิมพ์ชิดขอบด้านซ้าย 18 pt ตัวหนา หัวข้อย่อยหลัก 16 pt ตัวหนา นำเสนอบรรทัดถัดไปเว้นระยะห่างจากหัวข้อใหญ่ 1 tab เมื่อขึ้นหัวข้อใหญ่ ให้เว้นระยะห่าง 1 บรรทัด
- การใช้ตัวเลข คำย่อ และวงเล็บ ใช้ตัวเลขอารบิกทั้งฉบับ ใช้คำย่อที่เป็นสากลเท่านั้น ระบุคำเต็มไว้ในครั้งแรก การวงเล็บภาษาอังกฤษ ควรใช้ดังนี้ (Student-centered learning)
- การนำเสนอรูปภาพและตารางในบทความภาษาไทย
8.1 ทุกรูปภาพที่นำเสนอต้องเป็นรูปภาพที่มีความคมชัด รูปภาพที่นำเสนอต้องมีรายละเอียดของข้อมูลครบถ้วนชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้อ่านกลับไปอ่านที่เนื้อความด้านล่างอีก ผู้เขียนต้องระบุลำดับหมายเลขกำกับไว้ด้านล่างรูปภาพ พิมพ์เป็นตัวหนา เช่น “Figure 1...” ระบุลำดับของรูปภาพทุกรูปให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่อยู่ในต้นฉบับ โดยคำอธิบายต้องสอดคล้องกับรูปภาพที่นำเสนอ โดยชื่อของรูปภาพรวมทั้งรายละเอียดในรูปภาพทั้งหมดต้องระบุเป็นภาษาอังกฤษ
8.2 ทุกตารางที่นำเสนอต้องเป็นตารางที่มีความคมชัดและระบุข้อมูลที่มีรายละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมกับระบุลำดับหมายเลขกำกับทุกตารางไว้ด้านล่างของตาราง พิมพ์เป็นตัวหนา เช่น “Table 1...” โดยคำอธิบาย ต้องสอดคล้องกับตารางที่นำเสนอ โดยชื่อของตารางรวมทั้งรายละเอียดในตารางทั้งหมดต้องระบุเป็นภาษาอังกฤษ
ต้นฉบับทั้งหมดต้องประกอบด้วยไฟล์แยกกัน 4 ไฟล์ ได้แก่:
- ไฟล์ต้นฉบับหลัก (เอกสาร Microsoft Word)
- จดหมายรับรองจริยธรรม (ไม่บังคับ)
- จดหมายรับรองเป็นภาษาอังกฤษ (ไม่บังคับ)
- ข้อมูลเสริม (ไม่บังคับ)
รายการขั้นตอนการจัดเตรียมต้นฉบับบทความ
วารสารมานุษวิทยาเชิงพุทธ (JBA) ขอความร่วมมือจากผู้เขียนให้ปฏิบัติตามรายการขั้นตอนการจัดเตรียมต้นฉบับบทความเพื่อให้แน่ใจว่าต้นฉบับบทความของผู้เขียนต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับแนวปฏิบัติของวารสาร โดยเฉพาะคำแนะนำสำหรับผู้เขียนที่ทางวารสารกำหนดไว้ โดยผู้เขียนต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
- ผู้เขียนต้องพิจารณาวัตถุประสงค์และขอบเขตของทางวารสาร ทั้งนี้เพื่อประเมินต้นฉบับบทความของผู้เขียนว่ามีความเหมาะสมที่จะตีพิมพ์กับทางวารสารหรือไม่
- ผู้เขียนต้องใช้รูปแบบการจัดทำเอกสารในโปรแกรม Microsoft Word เพื่อการจัดเตรียมต้นฉบับบทความ
- ผู้เขียนต้องพิจารณาและปฏิบัติตามจรรยาบรรณการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์ จรรยาบรรณการดำเนินการวิจัย กฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ ความเป็นผู้นิพนธ์ รูปแบบการจัดทำแผนภูมิ การจัดทำข้อมูล และรูปแบบการเขียนเอกสารอ้างอิง
- ผู้เขียนต้องรับรองว่าเนื้อหาในต้นฉบับบทความได้ผ่านการอนุมัติจากผู้เขียน
- ผู้เขียนต้องรับรองว่าต้นฉบับบทความนั้นยังไม่ถูกตีพิมพ์มาก่อน หรือต้นฉบับบทความนั้นไม่ได้อยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาในวารสารอื่น ๆ
- ผู้เขียนต้องเขียนต้นฉบับบทความด้วยภาษาไทย และภาษาอังกฤษ โดยเนื้อหาต้องมีความชัดเจนและกระชับรัดกุม ซึ่งเนื้อหาในต้นฉบับบทความต้องมีการใช้ไวยากรณ์และการสะกดคำที่ถูกต้อง
- ผู้เขียนต้องจัดทำบทคัดย่อที่มีจำนวนคำ 500-600 คำ และมีจำนวนคำสำคัญ 3-5 คำ ที่สามารถถ่ายทอดเนื้อหาของต้นฉบับบทความได้อย่างแม่นยำ
- ผู้เขียนต้องจัดรูปแบบต้นฉบับบทความให้มีองค์ประกอบที่ชัดเจน ซึ่งต้องประกอบไปด้วย บทนำ วิธีดำเนินการวิจัย องค์ความรู้ใหม่ ผลการวิจัยและการอภิปรายผล สรุปและข้อเสนอแนะ กิตติกรรมประกาศ และเอกสารอ้างอิง
- ผู้เขียนต้องจัดทำแผนภูมิและตารางให้มีความคมชัด และมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของต้นฉบับบทความ
- ผู้เขียนต้องจัดทำเอกสารอ้างอิงที่มีความแม่นยำและสมบูรณ์ และต้องเป็นเอกสารอ้างอิงที่เป็นไปตามแนวทางการจัดทำเอกสารอ้างอิงในรูปแบบ APA 7th
- ผู้เขียนต้องจัดทำกิตติกรรมประกาศและข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนทุนวิจัย (ถ้ามี)
- ผู้เขียนต้องตรวจสอบซ้ำอีกครั้งว่าไฟล์ที่ได้ส่งมานั้นมีความสมบูรณ์ ไร้ข้อผิดพลาด และได้รับการจัดทำในรูปแบบที่ถูกต้อง
- ผู้เขียนต้องพิจารณารายการขั้นตอนการจัดเตรียมบทความต้นฉบับดังที่กล่าวมานี้เพื่อรับรองว่าผู้เขียนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวมาทั้งหมด ก่อนผู้เขียนจะส่งต้นฉบับบทความเพื่อตีพิมพ์ใน วารสารมานุษวิทยาเชิงพุทธ (JBA)
ข้อพึงพิจารณาทางจริยธรรมและจรรยาบรรณสำหรับผู้เขียน
- ความเป็นต้นฉบับและโจรกรรมทางวิชาการ ผู้เขียนควรรับรองว่าผลงานของผู้เขียนนั้นมีความเป็นต้นฉบับและไม่ถูกตีพิมพ์มาก่อน การโจรกรรมทางวิชาการในรูปแบบใดก็ตาม ทั้งการคัดลอกจากแหล่งข้อมูลใด ๆ โดยไม่มีการอ้างอิงอย่างถูกต้อง ถือเป็นสิ่งที่ผู้เขียนห้ามกระทำอย่างเด็ดขาด
- ความเป็นผู้นิพนธ์ มนุษย์ทุกคนที่มีบทบาทสำคัญในงานวิจัยต้องมีการระบุรายชื่อบุคคลผู้นั้นให้เป็นผู้เขียน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สื่อถึงคุณสมบัติของการเป็นผู้นิพนธ์และผู้เขียนควรจัดทำกิตติกรรมประกาศที่เหมาะสมต่อผู้คนที่มีส่วนร่วมแม้ว่าผู้คนเหล่านั้นจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับการวิจัยมากมายนักแต่ก็เพื่อสื่อถึงความเป็นผู้นิพนธ์ของผู้เขียน
- ความเที่ยงตรงของข้อมูล ผู้เขียนต้องนำเสนอข้อมูลที่แม่นยำและเชื่อถือได้ลงในบทความต้นฉบับของผู้เขียน ซึ่งการจัดการข้อมูลด้วยเจตนาที่จะปลอมแปลงหรือการเลือกข้อมูลมารายงานอย่างไม่เป็นธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในการเขียนบทความ
- ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม ผู้เขียนควรเปิดเผยข้อมูลทางการเงินหรือความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่อาจจะมีอิทธิพลต่อการตีความผลการวิจัยหรือทำให้เกิดโอกาสที่จะเกิดการขัดแย้งกันด้านผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งรวมไปถึงแหล่งทุนวิจัยหรือต้นสังกัดของผู้วิจัยที่อาจทำให้ผลงานมีความลำเอียงขึ้นได้
- จริยธรรมการวิจัยมนุษย์และสัตว์ หากว่างานวิจัยมีการใช้มนุษย์หรือสัตว์เข้ามามีส่วนร่วม ผู้เขียนต้องปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางจริยธรรมและจรรยาบรรณและจัดหาการรับรองทางจริยธรรมและจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยจากกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการรับรอง การวิจัยในมนุษย์ต้องผ่านกระบวนการขอความยินยอมอย่างถูกต้อง โดยเคารพความเป็นส่วนตัว และการรักษาซึ่งความลับต้องได้รับการคุ้มครอง
- การให้การรับรองแหล่งข้อมูล ผู้เขียนควรให้การรับรองอย่างเหมาะสมถึงผลงานของบุคคลอื่น ซึ่งรวมไปถึงการจัดทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสมถึงการวิจัยที่ผ่านมา และการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ผู้เขียนควรรับประกันด้วยตัวเองว่า ผู้เขียนได้รับอนุญาตที่จะใช้ข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์ หรือผู้เขียนมีการกล่าวถึงผลงานผู้อื่นอย่างถูกต้อง
- การตรวจทานผลงานที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ ผู้เขียนควรยอมรับกระบวนการตรวจทานผลงานโดยผู้เชี่ยวชาญโดยการนำเสนอข้อมูลที่แม่นยำและครบถ้วนไปยังผู้เชี่ยวชาญ ผู้เขียนควรตอบรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของผู้เชี่ยวชาญด้วยความเป็นมืออาชีพและความโปร่งใส
- ข้อผิดพลาดและการแก้ไข หากมีข้อผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อนที่สำคัญถูกพบเจอในผลงานที่ถูกตีพิมพ์ ผู้เขียนต้องมีความรับผิดชอบทางจริยธรรมโดยการรายงานข้อผิดพลาดนั้นทันทีไปยังบรรณาธิการของวารสารและให้ความร่วมมือในการเสนอแนวทางแก้ไขหรือการถอนบทความหากมีความจำเป็น
- การประพฤติมิชอบในการวิจัย ผู้เขียนควรงดเว้นการมีส่วนร่วมการประพฤติมิชอบในการวิจัย ยกตัวอย่าง เช่น การปลอมแปลงการอ้างอิง การคัดลอกผลงาน หรือการส่งผลงานไปยังหลาย ๆ วารสารพร้อมกัน
- การปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางจริยธรรม ผู้เขียนควรยึดมั่นในแนวปฏิบัติทางจริยธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มตัวอย่างวิจัยหรือวิธีการดำเนินการวิจัย ยกตัวอย่าง เช่น แนวปฏิบัติจากผู้ร่วมวิชาชีพหรือแนวปฏิบัติจากองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและองค์กรอิสระ




