แนวทางการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมกับที่พักแบบโฮมสเตย์ กรณีศึกษาธุรกิจโฮมสเตย์ พื้นที่ภาคตะวันตก
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสถานการณ์ปัญหาและมาตรการทางภาษีของภาครัฐต่อธุรกิจโฮมสเตย์ และ (2) กำหนดแนวทางการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมและส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจโฮมสเตย์ ผู้ให้ข้อมูลเป็นตัวแทนผู้ประกอบการที่พักแบบโฮมสเตย์ในภาคตะวันตก
ที่ดำเนินงานในรูปวิสาหกิจชุมชน ตัวแทนผู้ประกอบการที่พักแบบโฮมสเตย์ ที่ดำเนินงานในรูปแบบอื่นที่มิใช่วิสาหกิจชุมชนแต่ยังอยู่ในระยะเวลาการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทยจากกรมการท่องเที่ยวและตัวแทนผู้ประกอบการที่พักแบบโฮมสเตย์ที่ดำเนินงานในรูปแบบอื่นที่มิใช่วิสาหกิจชุมชนและไม่เคยได้รับการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทยจากกรมการท่องเที่ยวแต่ขึ้นทะเบียนสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมไว้ต่อกรมการปกครอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยมีดังนี้ (1) การรวมกลุ่มของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์เกิดจากการรวมตัวเพื่อขอรับรองมาตรฐานหรือขอรับการส่งเสริมจากทางราชการ ในระยะต้นผู้ประกอบการประสบปัญหาไม่สามารถรวมกลุ่มอยู่บ้าง แต่เมื่อสามารถรวมกลุ่มได้โฮมสเตย์ส่วนใหญ่ไม่ประสบปัญหาในการขอรับการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทยจากกรมการท่องเที่ยว แต่ประสบปัญหาในการจดทะเบียนเป็นที่พักอาศัยที่มิใช่โรงแรม รายได้ที่ได้รับจากการประกอบธุรกิจโฮมสเตย์ส่วนใหญ่มิใช่รายได้หลัก เป็นเพียงรายได้เสริมของผู้ประกอบการเท่านั้น โฮมสเตย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานหรือรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนได้จะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐอย่างเพียงพอ แต่มาตรการทางภาษีของภาครัฐนั้นให้ประโยชน์แต่เฉพาะโฮมสเตย์ ที่ดำเนินงานในรูปวิสาหกิจชุมชนเท่านั้นจึงจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในส่วนของเงินได้ที่ไม่เกิน 1,800,000 บาทแรก ส่วนโฮมสเตย์ที่ดำเนินงานในรูปแบบอื่น ๆ หากจะได้รับประโยชน์ก็คงในรูปการเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นมาตรการทางภาษีของภาครัฐที่ให้แก่ธุรกิจทุกประเภท และ (2) การจัดเก็บภาษีเงินได้จากผู้ประกอบการโฮมสเตย์ที่ใช้อยู่มีความเหมาะสมแล้ว โดยที่รัฐวางเกณฑ์ในการให้สิทธิยกเว้นภาษีไว้เฉพาะแก่ผู้ประกอบการโฮมสเตย์ที่เป็นวิสาหกิจชุมชน ที่รวมกลุ่มกันตั้งแต่ 7 หลังคาเรือน โดยทั้ง 7 คนต้องมาจากต่างครอบครัวกันซึ่งมีความเหมาะสมแล้ว เนื่องจากภาครัฐมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมการรวมกลุ่มกันทำธุรกิจในชุมชน หากลดขนาดของสมาชิกกลุ่มให้เหลือเพียง 2-3 คนอาจเป็นการเลือกปฏิบัติเพื่อเอื้อประโยชน์แก่เอกชนเฉพาะรายเกินไป ปัจจุบันการยกเว้นภาษีเงินได้ที่วิสาหกิจชุมชนได้รับอยู่ที่ 1.8 ล้านบาทแรกถือเป็นตัวเลขที่เหมาะสมแล้ว เนื่องจากสอดคล้องกับรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ควรกำหนดให้วิสาหกิจชุมชนใดที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐในการยกเว้นภาษีเงินได้โดยจำกัดระยะเวลาไว้ไม่เกิน 10 ปี เพื่อไม่ก่อภาระจนเกินไปแก่ภาครัฐ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารกระบวนการยุติธรรม แต่ความคิดเห็นที่ปรากฏในเนื้อหาของบทความในวารสารกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว
เอกสารอ้างอิง
กรมการท่องเที่ยว. (2562). ประกาศกรมการท่องเที่ยว เรื่อง หลักเกณฑ์คุณภาพที่พักนักเดินทาง”. ค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2564, จาก https://www.dot.go.th/news/inform/detail/3733.
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2561). ป.กก.แถลงข่าว สถานการณ์ท่องเที่ยว เดือนธันวาคม ปี 2560. ค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2564, จาก https://www.mots.go.th/News-view.php?nid=9886.
ไกรยุทธ ธีรตยาคีนันท์. (2521). ทฤษฎีภาษีเงินได้และภาษีเงินได้ของไทย. กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์.
บุญทัน ดอกไธสง และปิยะนันต์ จันทร์แขกหล้า. (2559). การกำหนดนโยบายธุรกิจโฮมสเตย์ของไทย. วารสารรัฐศาสตร์ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 3(1), 77-94.
วาริชา สิริปุญญานนท์. (2563). AIRBNB: เศรษฐกิจเชิงแบ่งปันสู่นวัตกรรมก้าวกระโดดที่ส่งผลกระทบต่อกฎหมาย. วารสารบัณฑิตศึกษานิติศาสตร์, 13(3), 422-442.
สำนักงบประมาณ. (2564). งบประมาณโดยสังเขป ประจำปีงบประมาณ 2565. ค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2564, จาก https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/578796.
สุจิตรา คุ้มฉาย, อัชรี กุลบุตร, ดนัย จันทร์สามเรือน และศรชัย ท้าวมิตร. (2564). นโยบายสาธารณะ: ชิม ช้อป ใช้ ในประเทศไทย. Journal of Modern Learning Development, 6(1), 380-394.
Rosdiana, H., Arevin, A. T., & Sardjono, L. F. (2019). Tax policy design for homestay in tourism village: Supply side tax policy perspectives. Tourism Development Centre International Conference, 49-55.