การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพเกี่ยวกับผลการตรวจ ทางห้องปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง
คำสำคัญ:
รูปแบบความรอบรู้สุขภาพ, ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ, ผู้สูงอายุโรคเรื้อรังบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและทดสอบรูปแบบความรอบรู้สุขภาพเกี่ยวกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในเขตสุขภาพที่ 9 โดยใช้หลักแนวคิดของ DON nutbeam แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาปัญหาและการพัฒนารูปแบบของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง ด้วยแบบสอบถาม จำนวน 372 คน และการสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงานคลินิกโรคเรื้อรัง จำนวน 8 คน ระยะที่ 2 ทดลองใช้รูปแบบการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 35 คน จัดฐานการเรียนรู้ 5 ฐาน ระหว่างวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2563–30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบความรอบรู้สุขภาพเกี่ยวกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง วิเคราะห์เปรียบเทียบความรอบรู้สุขภาพด้วยสถิติ Repeated ANOVA และ MANOVA ผลการวิจัยหลังการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า 1) การเข้าถึงข้อมูล ระดับดีมาก 2) ความรู้ความเข้าใจ ระดับดีมาก 3) การโต้ตอบซักถามแลกเปลี่ยน ระดับดีมาก 4) การตัดสินใจ ระดับดีมาก 5) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การดูแลตนเอง ระดับดีมาก ส่วนพฤติกรรมการดูแลตนเอง 5.1) การออกกำลังกาย ระดับดี 5.2) อาหารและโภชนาการ ระดับปานกลาง 5.3) อารมณ์ ระดับปานกลาง 5.4) การสูบบุหรี่และดื่มสุรา ระดับดี 6) การบอกต่อ ระดับดีมาก หลังการทดลองใช้รูปแบบและระยะติดตามผล ผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง มีความรอบรู้สุขภาพเกี่ยวกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผู้ปฏิบัติงานและผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง มีความพึงพอใจต่อรูปแบบความรอบรู้สุขภาพ ระดับดีมาก หน่วยงานที่รับผิดชอบควรส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงาน จัดการรูปแบบความรอบรู้สุขภาพเกี่ยวกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง
เอกสารอ้างอิง
ไชยยา จักรสิงห์โต. (2560). ประสิทธิผลโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มผู้ที่มีภาวะ ความเสี่ยงสูงต่อการป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคอ้วน. วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์.
นงลักษณ์ เทศนา และคณะ. (2558). ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนารูปแบบการป้องกันการป่วย
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในประชาชนกลุ่มเสี่ยง. สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดขอนแก่น.
บัณฑิต วรรณประพันธ์. (2561). การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุโดยทีมหมอครอบครัวระดับชุมชน ตำบลโนนเมือง อำเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา. วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค. 24(1):65-75.
ปัทมาสน์ เพชรสม. (2558). พฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุไทย. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขา
ประชากรศาสตร์ วิทยาลัยประชากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ศรีเสาวลักษณ อุนพรมม. (2563). ความรอบรูดานสุขภาพของผูสูงอายุจังหวัดนครราชสีมา.
วารสารสงเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดลอม. ปีที่ 14 ฉบับที่ 33 (2020): มกราคม - เมษายน 2563.
สภาเทคนิคการแพทย์. (2560). มาตรฐานงานเทคนิคการแพทย์ 2560. ฉบับ 60 ปี เทคนิคการแพทย์ไทย.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2560). รายงานการสํารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2560.
กลุ่มสถิติประชากร ปีที่จัดพิมพ์ 2561. ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ.
Conbach, L.Joseph. (1984). Essential of Psychology and Education. New York: Mc–Graw Hill
Daniel WW. (2010). Biostatics: Basic Concepts and Methodology for the Health. (9thed). New York: John Wiley & Sons.
Nutbeam, D. (2000). Health literacy as a public health goal: a challenge for
contemporary health education and communication strategies into health
st century. Health Promotion International 2000; 15: 259-67.
Yiengprugsawan, V. Healy, J. and Kendig, H. (Editors) (2016). Health system Responses
to population ageing and noncommunicable diseases in Asia Comparative
Country. Studies WHO 2016 2, (2) pp11- 23.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.




