ปัญหาการตีความคำว่า “กระทำชำเรา” ตามประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทย

Main Article Content

รองศาสตราจารย์อัจฉรียา ชูตินันทน์

บทคัดย่อ

          นิยามความหมายคำว่า “กระทำชำเรา” ตามมาตรา ๑ (๑๘) แห่งประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทยยังไม่เหมาะสมกับพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งมีความแตกต่างกันในทางเพศ เพราะการกระทำชำเรายังคงหมายถึงการใช้องคชาตของผู้กระทำล่วงล้ำเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมถึงเหยื่อที่ถูกบังคับให้ใช้อวัยวะเพศของตนล่วงล้ำอวัยวะเพศ หรือรูทวารหนักหรือช่องปากของผู้กระทำในลักษณะเดียวกัน ประกอบกับการบัญญัติกฎหมายยังไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการอันก้าวไกลของเทคโนโลยีทางการแพทย์โดยเฉพาะการยอมรับเรื่องการการผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สมควรได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในทางเพศก็ตาม จึงส่งผลให้เกิดปัญหาการตีความคำว่า “กระทำชำเรา” เป็นหลายนัย ผู้วิจัยจึงเห็นว่าควรนิยามความหมายคำว่า “กระทำชำเรา” ให้ครอบคลุมถึงเหยื่อที่มีความแตกต่างกันในทางเพศตามที่กำเนิดมาหรือเพศที่เลือกในภายหลังที่ถูกกระทำในลักษณะเดียวกันให้ได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกันและสามารถลงโทษผู้กระทำความผิดในทุกเพศได้อย่างเท่าเทียมดุจเดียวกันด้วย อันเป็นหลักประกันของความชัดเจนแน่นอนในกฎหมายอาญา

Article Details

บท
บทความ

References

ปกป้อง ศรีสนิท, กฎหมายอาญาชั้นสูง (สำนักพิมพ์วิญญูชน ๒๕๕๙) ๑๙.

เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป. ( พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, สำนักพิมพ์ พลสยาม พริ้นติ้ง (ประเทศไทย) ๒๕๕๑) ๒.

ปกป้อง ศรีสนิท (เชิงอรรถ ๑) ๒๐-๒๑.

Herbert L. Packer, The limits of the Criminal Sanction (Stanford University Press, 1968) 296 อ้างถึงใน เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายกฎหมายอาญาภาค ๑ เล่ม ๑. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, สำนักพิมพ์กรุงสยาม พับลิชชิ่ง ๒๕๖๒) ๔-๕.

ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์, ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับอ้างอิง (พิมพ์ครั้งที่ ๔๕, สำนักพิมพ์วิญญูชน ๒๕๖๔). ๔๖๖.

เพิ่งอ้าง ๔๗๓.

คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคทั่วไป (พิมพ์ครั้งที่ ๗, สำนักพิมพ์วิญญูชน ๒๕๖๓) ๙๑.

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย” เนื้อหาของกฎหมายอาญานี้เรียกว่า “หลักประกันในกฎหมายอาญา” ซึ่งในภาษาลาติน เรียกว่า “nullum crimen, nulla poena sine lege” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ หลักไม่มีความผิดไม่โทษโดยไม่มีกฎหมาย” ดู สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล, ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับหัวเรื่องเรียงมาตรา (พิมพ์ครั้งที่ ๘, สำนักพิมพ์วิญญูชน ๒๕๖๐) ๒๔.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า “บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้” ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐.

คณิต ณ นคร (เชิงอรรถ ๗) ๙๗.

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๘ วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของบุคคลนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นถึงสี่แสนบาท”

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “กฎหมายนั้น ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ วรรคสอง เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

จิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค ๑ ตอน ๑ (พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, สำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ๒๕๕๕) ๔๐.

การตีความกฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัดมีความหมายดังนี้ ประการที่หนึ่ง การตีความกฎหมายอาญาจะอาศัยเทียบเคียงบทบัญญัติกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง (analogy) มาใช้ให้เป็นผลร้ายมิได้ ประการที่สอง การตีความกฎหมายอาญาจะนำกฎหมายจารีตประเพณีมาใช้ให้เป็นผลร้ายมิได้ ประการที่สาม การตีความกฎหมายอาญาจะนำหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้ให้เป็นผลร้ายมิได้ ดู เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป (เชิงอรรถ ๒) ๒๑-๓๑.

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒ บัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำบัญญัติเป็นความผิด...”

ธานินทร์ กรัยวิเชียร และวิชา มหาคุณ, การตีความกฎหมาย (สำนักพิมพ์ชวนพิมพ์ ๒๕๒๓) ๔๑๐.

คณิต ณ นคร (เชิงอรรถ ๗) ๙๒.

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิด ต้องเป็นโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมาย”

คณิต ณ นคร (เชิงอรรถ ๗) ๗๖.

เพิ่งอ้าง ๗๙-๘๐.

ตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงพระอัยการลักษณะผัวเมีย พระราชกำหนดลักษณะข่มขืนล่วงประเวณี ร.ศ. ๑๑๘ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ จนกระทั่งมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙ ยังไม่กฎหมายบัญญัติความหมายคำว่า “กระทำชำเรา” ไว้เป็นพิเศษจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงเริ่มมีการบัญญัติขอบเขตความหมายของคำว่า “กระทำชำเรา” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” โปรดดู ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔ ตอนที่ ๔๗ ก หน้า ๘ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐.

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง บัญญัติว่า “กระทำชำเราตามความในวรรคหนึ่ง หมายความว่าการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น” แก้ไขครั้งที่สามโดยมาตรา ๓ แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๖ ก หน้า ๑ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๐. ดู ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์, ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับอ้างอิง (พิมพ์ครั้งที่ ๓๗, สำนักพิมม์วิญญูชน ๒๕๖๐) ๔๕๐.

มาตรา ๑ (๑๘) แก้ไขโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๒.

Evan Luard, ‘The Origins of International Concern over Human Rights’ in Evan Luard (ed) The International Protection of Human Right (Fredrick A. Praeger 1967) 7.

สำนักงานส่งเสริมความเสมอภาคชายหญิง, เอกสารเผยแพร่ความรู้ความหมายของสิทธิมนุษยชนสตรี (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ๒๕๕๑) ๒.

กรมองค์การระหว่างประเทศ, ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (กระทรวงการต่างประเทศ ๒๕๕๑) ๒๒.

International Covenant on Civil and Political Rights (adopted 16 December 1966, entered into force 23 March 1976) 999 UNTS 171 (ICCPR) art 26. ดู กุลพล พลวัน, พัฒนาการแห่งสิทธิมนุษยชน (พิมพ์ครั้งที่ ๓, สำนักพิมพ์วิญญูชน ๒๕๓๘) ๒๒๗.

Ibid art 10. ดู เพิ่งอ้าง ๒๒๓.

บรรเจิด สิงคะเนติ, ‘หลักประกันสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๔๐’ (๒๕๔๑) วารสารกฎหมายปกครอง ๑๗, ๓๐.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๗

พระอัยการลักษณะผัวเมีย มาตรา ๑ บัญญัติว่า “ชายใดข่มขืนภรรยาท่านถึงชำเราให้ปรับโดยประถมผิดเมียทวีคูณ ถ้าข่มขืนมิได้ถึงชำเราให้ไหมโดยประถมผิดเมีย กรณีหญิงม่ายค่าปรับจะลดลงเป็นปรับ ๔ ใน ๕ ของค่าปรับฐานชายชู้”

พระราชกำหนดข่มขืนล่วงประเวณี ร.ศ.๑๑๘ มาตรา ๓ บัญญัติว่า “ชายใดทำชำเราด้วยหญิงในเหตุ ๔ ประการ ดังที่จะกล่าวต่อไปข้างล่างนี้ ท่านว่า ชายผู้นั้น ข่มขืนทำชำเราหญิงคือ ข้อ ๑ ขืนใจหญิง ข้อ ๒ หญิงมิยินยอม ข้อ ๓ หญิงยินยอมด้วยชายขู่เข็ญ จะทำร้ายแก่ร่างกายและชีวิตหญิง ๆ มีความกลัว จึงยินยอม ข้อ ๔ หญิงยินยอมก็ดี ฤาไม่ยินยอมก็ดี แต่หญิงนั้นมีอายุตต่ำกว่า ๑๒ ปีลงมา ลงโทษสถานข่มขืนทำชำเรา”

พระราชกำหนดข่มขืนล่วงประเวณี ร.ศ.๑๑๘ มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดทำชำเราทางเวจมรรคก็ดี ฤาทำชำเราด้วยสัตวเดรัจฉานผิดธรรมดาโลกก็ดี พิจารณาเปนสัตย ให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่ ๑๐ ปี ลงมา กับให้ทำการหนักด้วยก็ได้ ฤามิให้ทำการหนักด้วยก็ได้”

พระราชกำหนดข่มขืนล่วงประเวณี ร.ศ.๑๑๘ มาตรา ๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า“ชายใดข่มขืนทำชำเราหญิงดังเช่นว่าไว้ในมาตรา ๓ พิจารณาเป็นสัตยให้ลงโทษจำคุกไว้ตั้งแต่ ๑๐ ปีลงมากับให้ทำการหนักด้วยก็ได้ฤามิให้ทำการหนักด้วยก็ได้แล้วจะปรับเปนเงินทำขวัญให้แก่หญิงเป็นเงิน ๓๐๐ บาท ลงมาด้วยก็ได้”

พระราชกำหนดข่มขืนล่วงประเวณี ร.ศ.๑๑๘ มาตรา ๔ วรรคสอง “อนึ่ง ผู้ใดได้รับโทษ ถานข่มขืนทำชำเราครั้งหนึ่งแล้ว ภายหลังยังกลับขืนกระทำผิดลงอีกเป็นครั้งที่ ๒ ที่ ๓ ต่อไป จะให้ลงโทษเฆี่ยนตั้งแต่ ๖๐ ที่ลงมา เพิ่มเข้ากับโทษจำคุกแลโทษปรับอีกด้วยก็ได้”

กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ มาตรา ๒๔๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดบังอาจใช้อำนาจด้วยกำลังกายหรือด้วยวาจาขู่เข็ญกระทำชำเราขืนใจหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของมันเอง ท่านว่าผู้นั้นข่มขืนทำชำเรา ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปจนถึงสิบปี แลให้ปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทขึ้นไปจนถึงห้าร้อยบาท ด้วยอีกโสดหนึ่ง” และมาตรา ๒๔๓ วรรคสอง บัญญัติว่า”ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงทำชำเราขืนใจหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของมันเอง ท่านว่ามันข่มขืนทำชำเรา มีความผิดต้องระวางโทษดุจกันกับที่ว่ามานั้น””

อัจฉรียา ชูตินันทน์, ‘หลักการกำหนดความผิดอาญาและหลักการกำหนดโทษอาญาในการตรากฎหมาย’ (๒๕๖๔) ๓ วารสารสุทธิปริทัศน์ ๒๑, ๒๖.

เพิ่งอ้าง ๒๔.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๙๐/๒๕๕๕ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๓๒๓/๒๕๕๗ การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นชายใช้ปากอมอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นเด็กชายอายุ ๑๑ ปีเศษ จึงถือได้ว่าช่องปากของจำเลยที่ ๑ เป็นสิ่งอื่นใดที่ใช้กระทำกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๑ แล้ว การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบสามปีตาม มาตรา ๒๗๗ วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๕๓๗-๑๔๕๓๙/๒๕๕๕ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๘๑๖/๒๕๕๔ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๙๐/๒๕๕๕ ดู สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์, วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาด้วยหลักกฎหมายเยอรมัน (สำนักพิมพ์เจริญรัฐการพิมพ์ ๒๕๕๘) ๙๗.

ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์, ‘การกระทำชำเราตามกฏหมายที่แก้ไขใหม่ ยังคงให้ข่มขืนเมียเด็กได้’ ใน อานนท์ มาเม้า และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (บรรณาธิการ) ๖๐ ปี อุดม รัฐอมฤต ชีวิตและมิตรภาพบนเส้นทางวิชาการ (โรงพิมพ์เดือนตุลา ๒๕๖๒) ๓๙๙.

เพิ่งอ้าง.

คณพล จันทน์หอม, คำอธิบายกฎหมายอาญาภาคความผิด (พิมพ์ครั้งที่ ๒, สำนักพิมพ์วิญญูชน ๒๕๖๓) ๕๔๖.

เพิ่งอ้าง ๕๔๗.

เพิ่งอ้าง ๕๔๕.

สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์, ‘พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ : ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะบางประการ’ (๒๕๖๓) ๓ ดุลพาห ๑, ๒.

เพิ่งอ้าง ๓.

สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์, ‘จำเลยอมอวัยวะเพศชายของผู้เสียหายเป็นความผิดอาญาฐานอนาจารโดยการล่วงล้ำหรือเป็นความผิดฐานอนาจารธรรมดา’ (๒๕๖๓) ๑ บทบัณฑิตย์ ๒๘๒-๒๘๙.

สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์, พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ : ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะบางประการ (เชิงอรรถ ๔๗) ๔.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๗/๒๕๒๔ ดู คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคความผิด ( พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, สำนักพิมพ์วิญญูชน ๒๕๕๙) ๕๒๓.

คณพล จันทน์หอม (เชิงอรรถ ๔๔) ๕๔๕.

Penal Code Act No.45 (April, 1907) art. 177 (Japan) “Rape A person who, through assault or intimidation, forcibly commits sexual intercourse with a female of not less than thirteen years of age commits the crime of rape and shall be punished by imprisonment with work for a definite term of not less than 3 years. The same shall apply to a person who commits sexual intercourse with a female under thirteen years of age.”

Kayoko Kitagawa, ‘Penal Code Amendment Pertaining to Sexual Offenses’ (2018) Publication Institution of Comparative Law, Waseda University.

“Sexual intercourse” is a sexual activity typically involving the insertion and thrusting of the penis into the vagina for sexual pleasure, reproduction, or both. This is also known as vaginal intercourse or vaginal sex. Other forms of penetrative sexual intercourse include anal sex (penetration of the anus by the penis),oral sex (penetration of the mouth by the penis or oral penetration of the female genitalia).

Penal Code arts. 222-23 ( France). “Any act of sexual penetration, whatever its nature, committed against another person by violence, constraint, threat or surprise, is rape. Rape is punished by fifteen years’ criminal imprisonment.”

Penal Code of 1871 (Germany). The definition of rape was to compel a woman to have extramarital intercourse by force or the threat of present danger to life or limb, and was punishable by at least two years imprisonment.

สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์, วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาด้วยหลักกฎหมายเยอรมัน (เชิงอรรถ ๔๑) ๙๕.

เพิ่งอ้าง.

เพิ่งอ้าง ๙๖.

กรรภิรมย์ โกมลารชุน, ‘ความผิดเกี่ยวกับเพศตามกฎหมายเยอรมนี:การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในรอบ ๕๐ ปี’ (การสอนวิชาสัมมนากฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๔) ๑๗.

Penal Code of 1871 s. 177 (2) (Germany).

Penal Code of 1871 s. 177 (2) (Germany).

Penal Code of 1871 s. 177 (6) (Germany). “(rape) In especially serious cases, the penalty is imprisonment for a term of at least two years. An especially serious cases typically occurs where 1. The offender has sexual intercourse with the victim or has the victim have sexual intercourse or commits such similar sexual acts on the victim or has the victim commit them on them which are particularly regarding for the victim, especially if they involve penetration of the body (rape) or 2. the offence is committed jointly by more than one person.”

กรรภิรมย์ โกมลารชุน (เชิงอรรถที่ ๖๑) ๑๐.

exual Offences Act 2003 ( UK). “Rape ( 1) A person ( A) commits an offence if— (a) he intentionally penetrates the vagina, anus or mouth of another person (B) with his penis, (b) B does not consent to the penetration, and (c) A does not reasonably believe that B consents. (2) Whether a belief is reasonable is to be determined having regard to all the circumstances, including any steps A has taken to ascertain whether B consents. (3) Sections 75 and 76 apply to an offence under this section. (4) person guilty of an offence under this section is liable, on conviction on indictment, to imprisonment for life.”

Sexual Offences Act 2003 s. 74 (UK). “Consent” For the purposes of this Part, a person consents if he agrees by choice, and has the freedom and capacity to make that choice.

Sexual Offences Act 2003 s. 75 (UK).

Sexual Offences Act 2003 s. 78 (UK). “Sexual” penetration, touching or any other activity is sexual if a reasonable person would consider that—(a)whatever its circumstances or any person’s purpose in relation to it, it is because of its nature sexual, or(b)because of its nature it may be sexual and because of its circumstances or the purpose of any person in relation to it (or both) it is sexual.

Sexual Offences Act 2003 s. 79 (2) (UK). “Penetration” is a continuing act from entry to withdrawal.

Sexual Offences Act 2003 s. 79 (9) (UK). “Vagina” includes vulva.

Sexual Offences Act 2003 s. 79 (3) (UK). “References to a part of the body” include references to a part surgically constructed (in particular, through gender reassignment surgery).

Sexual Offences Act 2003 s. 2 (UK). “Assault by penetration (1) A person (A) commits an offence if— (a)he intentionally penetrates the vagina or anus of another person (B) with a part of his body or anything else, (b) the penetration is sexual, (c) B does not consent to the penetration, and (d) A does not reasonably believe that B consents. (2) Whether a belief is reasonable is to be determined having regard to all the circumstances, including any steps A has taken to ascertain whether B consents. (3) Sections 75 and 76 apply to an offence under this section. (4) A person guilty of an offence under this section is liable, on conviction on indictment, to imprisonment for life.”