การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามการเรียนรู้และการสอนบนฐานความยึดมั่นผูกพันและการเรียนรู้แบบนำตนเองเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DEVELOPMENT OF AN INSTRUCTIONAL MODEL USING THE ENGAGEMENT-BASED LEARNING AND TEACHING AND SELF-DIRECTED LEARNING FOR ENHANCING READING HABIT OF SEVENTH GRADE STUDENTS)
คำสำคัญ:
การเรียนรู้และการสอนบนฐานความยึดมั่นผูกพัน, การเรียนรู้แบบนำตนเอง, นิสัยรักการอ่านบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามการเรียนรู้และการสอนบนฐานความยึดมั่นผูกพันและการเรียนรู้แบบนำตนเองเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 และศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ศึกษาในโรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 33 คน โดยใช้วิธีเลือกอย่างเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดนิสัยรักการอ่าน วัดนิสัยรักการอ่านก่อน ระหว่าง และหลังการใช้รูปแบบ และใช้แบบบันทึกการอ่านประเภทต่าง ๆ ประเมินพัฒนาการในแต่ละระยะระหว่างการใช้รูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที (t-test) ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และความแตกต่างรายคู่
ผลการวิจัย พบว่า
- 1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น มีหลักการ 3 ประการ คือ 1) การให้ผู้เรียนวิเคราะห์ ความต้องการอ่าน ตั้งเป้าหมายและวางแผนการอ่านตามความสนใจ และคัดเลือกบทอ่านและกลยุทธ์ในการอ่านที่เหมาะสม ทำให้ผู้เรียนสมัครใจและกระตือรือร้นที่จะอ่าน อ่านอย่างเข้าใจและผูกพันต่อการอ่าน 2) การให้ผู้เรียนควบคุมการอ่านด้วยตนเองและช่วยกันอ่านร่วมกับบุคคลที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ช่วยให้บรรลุเป้าหมายการอ่านได้ 3) การประเมินผลการอ่านเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่สามารถจูงใจให้อ่านได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตลอดจนอ่านได้อย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตั้งเป้าหมายตามความสนใจ ขั้นวางแผนอ่านให้เหมาะสม ขั้นชื่นชมเมื่ออ่านได้ และขั้นชวนให้สะท้อนคิด
- 2. เมื่อใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นกับกลุ่มตัวอย่างแล้ว พบว่า 1) นิสัยรักการอ่านของกลุ่มตัวอย่างหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ผลการเปรียบเทียบพัฒนาการของนิสัยรักการอ่านใน 4 ระยะของการทดลอง โดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และทดสอบความแตกต่างรายคู่ ด้วยวิธี Scheffe พบว่า นักเรียนมีคะแนนพัฒนาการจากการวัดนิสัยรักการอ่านครั้งหลังสูงกว่าครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Downloads
เอกสารอ้างอิง
[2] ประเวศ วะสี. (2550). นโยบายและแนวทางการวิจัยของชาติระยะยาว ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.
[3] Smith, R. J., & Dale, J. (1976). Teaching children to read. New York: Addison–Wesley Publishing.
[4] Rani, R., Pathania, R., & Sharma, S. (2006). Gender differentials in reading behavior among children. Journal of Social Science. 12(2), 125-127.
[5] Guthrie, J. T., & Wigfield, A. (2000). Engagement and motivation in reading. In M. L. Kamil, P. B. Mosenthal, P. D. Pearson, & R. Barr (Eds.), Reading research handbook (Vol. 3, 403-424). Mahwah, NJ: Erlbaum.
[6] Rogers, A. (2002). Teaching adults. 3rd ed. Buckingham: Open University Press.
[7] Knowles, M. S. (1975). Self-directed learning: A guide for learners and teachers. New York, NY: Cambridge Books.
[8] ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน. (2557). จิตวิทยาการอ่าน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
[9] Caine, G., Caine, R. N., & Crowell, S. (1994). Mindshifts: A brain-based process for restructuring schools and renewing education. Tucson, AZ: Zephyr Press.
[10] Jones, R. D. (2008). Strengthening student engagement. International Center for Leadership in Education. p. 1.
[11] Hiemstra, R. (1994). Self-directed Learning. The International Encyclopedia of education. Great Britain: BPC Wheatons.
[12] อาชัญญา รัตนอุบล. (2549). การศึกษานอกระบบโรงเรียนในสังคมแห่งการเรียนรู้. วารสารครุศาสตร์. 34, 45-56.
[13] Maker, J. C., & Neilson, A. B. (1995). Teaching Models in Education of the Gifted. Texas: Pro-Ed.
[14] ฐิฎา ไกรวัฒนพงศ์. (2544). ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองของนักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพในกรุงเทพมหานคร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[15] Bouchard, P. (1994). Self-directed profession and autodidactic choice: A Framework for analysis. In Long, Huey B. and Associates. New Ideas about Self-Directed Learning. Oklahoma: Oklahoma Research Center for Continuing Professional and Higher Education of the University of Oklahoma.
[16] Joyce, B., & Weil, M. (2009). Model of Teaching. 8th ed. Englewood Cliffs, New York: Prentice-Hall. [17] Maker, J. C., & Neilson, A. B. (1995). Teaching models in education of the gifted. 2nd ed. Texas: Pro Ed.
[18] Haggerty, D. L. (2000). Engaging adult learners in self-directed learning and its impact on learning styles. Retrieved from http://www.lib.umi.com/dissertations/fullcit/9970118
[19] Candy, P. C. (1991). Self-direction for lifelong learning: A comprehensive guide to theory and practice. San Francisco: Jossey-Bass.
[20] Steltenkamp, C. J. (1992). Habits attitudes and experiences: A study of secondary students reading. M. A. Diss., Michigan: Michigan State University.
[21] วรรดี นกเกษม. (2555). ปัจจัยบางประการที่สัมพันธ์กับนิสัยรักการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในจังหวัดสตูล. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต (สาขาวิชาการวิจัยและประเมิน) มหาวิทยาลัยทักษิณ.
[22] Guthrie, J. T., & Cox, K. E. (2001). Classroom conditions for motivation and engagement in reading. Educational Psychology Review. 13, 283-302.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อยู่ภายใต้การอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivs 4.0 International (CC-BY-NC-ND 4.0) เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น โปรดอ่านหน้านโยบายของวารสารสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถึงแบบเปิด ลิขสิทธิ์ และการอนุญาต