ความต้องการมีบุตรในอนาคต: หลักฐานเชิงประจักษ์จากสตรีที่สมรสในประเทศไทย (FUTURE DESIRE FOR CHILDREN: EMPIRICAL EVIDENCES FROM MARRIED WOMEN IN THAILAND)

ผู้แต่ง

  • กนกวรา พวงประยงค์ วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำสำคัญ:

สตรีที่สมรส, ความต้องการมีบุตร, Desire for Children, Married Women

บทคัดย่อ

การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และแบบแผนความต้องการมีบุตรในอนาคตของสตรีที่สมรสในประเทศไทย รวมไปจนถึงทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยลักษณะและภูมิหลังของสตรีที่สมรสกับความต้องการมีบุตรในอนาคต โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิ จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรี พ.ศ. 2555 (MICS4) จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ สตรี อายุ 15–49 ปี ที่สมรส จำนวนทั้งสิ้น 15,661 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และใช้สถิติไคสแควร์ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยลักษณะและภูมิหลังของสตรีที่สมรสกับความต้องการมีบุตรในอนาคต จากการศึกษาสถานการณ์ความต้องการมีบุตรในอนาคต ในภาพรวม พบว่า สตรีที่สมรสมีความต้องการมีบุตรในอนาคต เพียงร้อยละ 18.8 และยังพบว่า สตรีที่สมรสที่อยู่ในกลุ่มแม่วัยใส อายุ 15–19 ปี มีความต้องการมีบุตรในอนาคต คิดเป็นสัดส่วนสูงที่สุดถึงร้อยละ 44.1 เมื่อทำการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยลักษณะและภูมิหลังของสตรีที่สมรสกับความต้องการมีบุตรในอนาคต ด้วยสถิติไคสแควร์ พบว่า สตรีที่สมรสที่มีลักษณะและภูมิหลัง อันได้แก่ อายุ อายุแรกสมรส การตั้งครรภ์ในปัจจุบัน ประสบการณ์การมีบุตรที่เสียชีวิต จำนวนบุตรที่มีชีวิต ภูมิภาค สถานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน และระดับการศึกษาสูงสุดที่แตกต่างกัน มีความต้องการมีบุตรในอนาคตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้เมื่อทำการศึกษาแบบแผนความต้องการมีบุตรในอนาคต พบว่า สตรีที่สมรสที่มีอายุ 25–29 ปี มีความต้องการมีบุตรคนแรก และมีความต้องการมีบุตรคนที่สอง คิดเป็นสัดส่วนสูงที่สุด (ร้อยละ 74.9และ 50.5 ตามลำดับ) และสตรีที่สมรสที่มีอายุ 20–24 ปี มีความต้องการมีบุตรคนที่สาม และมีความต้องการมีบุตรคนที่สี่ (หรือมากกว่า) คิดเป็นสัดส่วนสูงที่สุด (ร้อยละ 16.8 และ 9.8 ตามลำดับ)

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

[1] สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2556). การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2583. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เดือนตุลา.
[2] สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2553). การสำรวจอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2552. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559,จาก https://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/files/fertility/fertilityFull.pdf
[3] นิพนธ์ เทพวัลย์. (2541). ประชากรศาสตร์. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
[4] เดลินิวส์. (2557, 1 กรกฎาคม). ชี้เด็กเกิดน้อยลง หวั่นขาดแรงงาน. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559, จาก https://www.dailynews.co.th/politics/249265
[5] ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์; และ ปราโมทย์ ประสาทกุล. (2549). ประชากรไทยในอนาคต. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559, จาก https://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/AnnualConference/ConferenceII/Article/Article02.htm
[6] วาสนา อิ่มเอม. (2557, 12 ธันวาคม). การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร: ไทยกับประเทศอาเซียน. ใน เอกสารนำเสนอในงานประชุมวิชาการ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรกับอนาคตการพัฒนาประเทศ. หน้า 6-16. กรุงเทพฯ: โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์.
[7] สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2555). แผนประชากรในช่วงแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559). สำนักนายกรัฐมนตรี. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559, จาก https://artculture.cmu.ac.th/images/uploadfile/depfile-150910140608.%E0%B8%A8
[8] Sikder, U. K. (2015, June-August). Empirical test of the Caldwell’s fertility theory of intergenerational wealth flows in India: evidence from National Family Health Survey Data. American International Journal of Research in Humanities. Arts and Social Sciences. 11(1): 77-80.
[9] Becker, G. S. (1960). Demographic and economic change in developed countries: Columbia University Press.
[10] Ross, J. L., Blangero, J., Goldstein, M. C., & Schuler, S. (1986). Proximate determinants of fertility in the Kathmandu Valley, Nepal: an anthropological case study. Journal of Biosocial Science, 18(2): 179-196.
[11] Fosu, M. O., Nyarko, I. P. R., & Anokye, M. (2013). The desire for last birth among Ghanaian women: The determinants. Research on Humanities and Social Sciences. 3(2): 122-129.
[12] สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2556). รายงานฉบับสมบูรณ์ การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2555. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559, จาก https://service.nso.go.th/nso/nsopublish /themes/files/child-womenRep55.pdf
[13] วิทยา ถิฐาพันธ์. (2559). อายุของแม่กับการตั้งครรภ์. ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559, จาก https://www.si.mahidol.ac.th/th/department /obstretrics_gynecology/dept_article_detail.asp?a_id=509
[14] อำนวย กาจีนะ. (2557, 21 พฤษภาคม). เด็กไทยเกิดใหม่น้อยลงแต่ยอดแม่วัยใสยังน่าห่วง. ไทยรัฐออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559, จาก https://www.thairath.co.th/content/424172
[15] ฐิตินันท์ ผิวนิล. (2558, 4 กรกฎาคม). การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นกับภาวะทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย: การวิเคราะห์ข้อมูลสูติบัตรจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์. ใน เอกสารการประชุมวิชาการระดับชาติ ราชภัฏเพชรบุรีวิจัยเพื่อแผ่นดินไทย ครั้งที่ 5. หน้า 337-344. เพชรบุรี: มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี.
[16] ศิริกุล อิศรานุรักษ์. (2549). ทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อย: ปัญหาสุขภาพคนไทยที่ยังแก้ไม่ตก. วารสาร สาธารณสุขและการพัฒนา. 4(1): 67-79.
[17] อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์; และคณะ. (2549). ผลกระทบของการเสียชีวิตของบุตรต่อความมั่นคงของชีวิตสมรสของคนไทย. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2559, จาก https://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/Annual Conference/ConferenceII/Article/Download/Article10.pdf
[18] สันทัด เสริมศรี. (2541). ประชากรศาสตร์ทางสังคม. กรุงเทพฯ: สามเจริญพาณิช.
[19] สมยศ ทุ่งหว้า. (2543) ระบบสังคมเกษตร: ข้อเสนอเชิงแนวคิดที่ได้จากการวิจัยในภาคใต้. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2559, จาก https://www.mcc.cmu.ac.th/Seminar/pdf/671.pdf
[20] อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์; และ อรทัย หรูเจริญพรพานิช. (2550). Sex and the City. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2559, จาก https://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsr/annualconference/conferenceiii/Articles/ Article07.htm
[21] ฝ่ายวิจัยและศูนย์สารสนเทศทางประชากรศาสตร์. (2551). แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับภาวะเจริญพันธุ์. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2559, จาก https://www.cps.chula.ac.th/cps/research_division/ theory/t_birth.html
[22] Shah, N. M., Shah, M. A., & Radovanovic, Z. (1998). Patterns of desired fertility and contraceptive use in Kuwait. International Family Planning Perspectives. 24(3): 133-138.
[23] Livingston, G. (2015). Childlessness falls, family size grows among highly educationed women. Retrieved May 6, 2016, from https://www.pewsocialtrends.org/files/2015/05/2015-05-07_children-ever-born_FINAL.pdf
[24] จงจิตต์ ฤทธิรงค์; และคณะ. (2557, 1 กรกฎาคม). สถานเลี้ยงเด็กช่วยให้คนมีบุตรมากขึ้นจริงหรือ. ใน เอกสารการประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ 10 ประชากรและสังคม 2557. หน้า 99-120. กรุงเทพฯ: โรงแรมเอเชีย.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2018-08-17

รูปแบบการอ้างอิง

พวงประยงค์ ก. (2018). ความต้องการมีบุตรในอนาคต: หลักฐานเชิงประจักษ์จากสตรีที่สมรสในประเทศไทย (FUTURE DESIRE FOR CHILDREN: EMPIRICAL EVIDENCES FROM MARRIED WOMEN IN THAILAND). วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 10(19, January-June), 1–19. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/139422