การพัฒนาออนโทโลยีนิทานพื้นบ้านอีสานเพื่อการสืบค้นและเข้าถึง THE DEVELOPMENT OF ISAN FOLKTALE ONTOLOGY FOR INFORMATION ACCESS AND RETRIEVAL

ผู้แต่ง

  • อภิฤดี จันทะเดช สาขาวิชาการจัดการสารสนเทศ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • มาลี กาบมาลา สาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

คำสำคัญ:

ออนโทโลยี, นิทานพื้นบ้านอีสาน, การสังเคราะห์เนื้อหา

บทคัดย่อ

บทความนี้เป็นการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาออนโทโลยีนิทานพื้นบ้านอีสานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ขอบเขตและโครงสร้างความรู้นิทานพื้นบ้านอีสาน และพัฒนาออนโทโลยีนิทานพื้นบ้านอีสานเพื่อการสืบค้นและการเข้าถึง ในการศึกษาในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Approach: R&D) โดยการวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis) เพื่อวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) คำศัพท์ แนวคิด
ที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านอีสาน สังเคราะห์เนื้อหาเพื่อหาขอบเขตโครงสร้างความรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านอีสาน โดยใช้แนวทางการจัดหมวดหมู่ (Library Classification) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบวิเคราะห์เนื้อหานิทานพื้นบ้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ นิทานพื้นบ้านอีสานที่ได้รับการปริวรรตแล้ว จำนวน 77 เรื่อง ส่วนการพัฒนาออนโทโลยีใช้แนวทางฟาเซ็ท (Facet Approach) ของ Prieto-Diaz [1]

            ผลการศึกษาพบว่า ขอบเขตและโครงสร้างเนื้อหาความรู้นิทานพื้นบ้าน สามารถจัดกลุ่มความรู้ได้ 8 กลุ่มความรู้ คือ ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหานิทาน ความเชื่อ ประเพณี ค่านิยม พิธีกรรม สถานที่ ตัวละคร วัตถุสิ่งของวิเศษ
การพัฒนาออนโทโลยีนิทานพื้นบ้านอีสาน ประกอบด้วยกระบวนการ 1) กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อการอธิบายความรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านอีสานให้เข้าใจอย่างชัดแจ้งสำหรับใช้เป็นเครื่องมือเข้าถึงความรู้ในนิทานพื้นบ้านอีสาน 2) การสร้างแบบจำลองแนวคิดการออกแบบและพัฒนาโดเมนออนโทโลยี 3) การสร้างออนโทโลยีสำหรับนิทานพื้นบ้านอีสาน  ประกอบด้วย คลาสหลัก (Classes) 8 คลาส คือ (1) เนื้อหานิทานพื้นบ้าน (2) ความเชื่อ (3) ประเพณี  (4) ค่านิยม (5) พิธีกรรม (6) สถานที่ (7) ตัวละคร (8) วัตถุสิ่งของวิเศษ คลาสย่อย (Subclass) จำนวน 48 คลาส และคุณสมบัติที่เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างคลาส (Object Properties) จำนวน 58 รายการ ผลการประเมินออนโทโลยีนิทานพื้นบ้านอีสานโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า การจัดกลุ่มของคลาสภายในออนโทโลยีมีความเหมาะสมในระดับมาก มีค่า= 3.00 คลาสในออนโทโลยีมีความครอบคลุมในการจัดเก็บความรู้เพียงพอมีความเหมะสมในระดับมาก มีค่า = 3.00  ชื่อของคลาสภายในออนโทโลยีมีความเหมาะสมและสามารถสื่อความหมายได้เข้าใจ มีความเหมะสมในระดับมากที่สุดมีค่า  = 3.33 การจัดลำดับของคลาสภายในออนโทโลยีมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่า  = 3.00 คุณสมบัติหรือคุณลักษณะของคลาสสามารถอธิบายลักษณะของคลาสได้มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่า  = 3.67   ออนโทโลยีมีความสัมพันธ์ระหว่างคลาสมีความเหมาะสมในระดับมาก มีค่า  = 3.00 ชื่อความสัมพันธ์ระหว่างคลาสภายในออนโทโลยีมีความเหมาะสมและสามารถสื่อความหมายได้เข้าใจมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่า  = 3.33 ชื่อคุณสมบัติของชนิดข้อมูล (Data Type Properties) และรายละเอียดของชนิดข้อมูลมีความสอดคล้องกันมีความเหมาะสมในระดับมาก มีค่า  = 3.00 ภาพรวมของออนโทโลยีมีการออกแบบเหมาะสมสำหรับการนำไปใช้งานมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่า  = 3.33 

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

[1] Prieto-Diaz, R. (2002). A Faceted Approach to Building Ontologies. Retrieved February 25, 2017, from
http://www.cs.uu.nl/docs/vakken/ks/BulidOntologiesRPD-ER2002.pdf
[2] เสาวลักษณ์ อนันตศานต์. (2538). นิทานพื้นบ้านเปรียบเทียบ : Comparative folktales. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
[3] สิริวรรณ วงษ์ทัต. (2553). วรรณกรรมคำสอนสมัยธนบุรี. วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา. 8(9-10): 79 – 85.
[4] สุรนี แก้วกลม. (2549). รายงานการวิจัย การปริวรรตและวิเคราะห์นิทานพื้นบ้านอีสาน กรณีลำท้าวเสื้อ
เน่า ฉบับวัดอโนดาต จังหวัดอุบลราชธานี. อุบลราชธานี: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
[5] วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์. (2552). นิทานพื้นบ้าน นิทานชาติพันธุ์ : กระบวนการสืบค้นตัวตนเด็กและชุมชน. สืบค้นเมื่อ
3 กรกฎาคม 2558, จาก https://www.gotoknow.org/posts/196410
[6] พิริยะ ผลพิรุฬ. (2556). เศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการพัฒนาประเทศไทย. วารสารเศรษฐศาสตร์ปริทรรศน์
สถาบันพัฒนศาสตร์. 7(1): 1 – 69.
[7] สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2553). สรุปสาระสำคัญแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่สิบเอ็ด พ.ศ. 2555-2559. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
[8] ศิราพร ณ ถลาง. (2558). เรื่องเล่าพื้นบ้านไทยในโลกที่เปลี่ยนแปลง. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร.
[9] อภิลักษณ์ เกษมผลกูล. (2556). พระวรวงศ์ : วรรณกรรมท้องถิ่นที่แสดงร่องรอยความสัมพันธ์ทาง
ภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมระหว่างภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้1 = Phra Voravong:The Geographical
and Cultural Evidence of Relationship between the East, the Central and the South of Thailand. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. 4(2): 103 – 132.
[10] สุกัญญา สุจฉายา. (2557). วรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[11] วิเชียร เกษประทุม. (2542). นิทานพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ: พัฒนาศึกษา.
[12] กิ่งแก้ว อัตถากร. (2514). วรรณกรรมจากบ้าน. ใน งานทำบุญอายุครบ 5 รอบ ของ ม.ร.ว.พรรณเรือง เกษมสันต์
อัตถากร, 2 เมษายน 2514, หน้า 10.
[13] กุหลาบ มัลลิกะมาส. (2518). คติชาวบ้าน. กรุงเทพฯ: ชวนพิมพ์สำราญราษฎร์.
[14] ประคอง นิมมานเหมินทร์. (2551). นิทานพื้นบ้านศึกษา. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[15] Thompson, S. (1916). The Texas Folklore Society Collection. Retrieved February 25, 2017, from
https://texashistory.unt.edu/explore/collections/TFSP/
[16] กองโบราณคดี. (2531). ตำนานและนิทานพื้นบ้านอีสาน. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร.
[17] วิจิตรา ขอนยาง. (2532). การศึกษาประเพณีจากวรรณกรรมนิทานพื้นบ้านอีสาน. ปริญญาศิลปศาสตร
มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม.
[18] อนัญญา ปานจีน. (2553). การศึกษาคติความเชื่อเรื่องพญานาคในพื้นที่อีสานตอนบน เพื่อเสนอแนวทาง สู่การ
ออกแบบสถาปัตยกรรมภายในพิพิธภัณฑ์นาคา. กรุงเทพฯ: ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ
ออกแบบภายในภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.
[19] วนิดา อ่อนละมัย; และ สุดสันต์ สุทธิพิศาล. (2558). การปรับใช้วรรณกรรมสินไซโดยชุมชนเพื่อสนับสนุน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม = Adaptive Use of “Sin – Sai” Literature for Supporting CulturalTourism,
วารสารวิชาการการท่องเที่ยวไทยนานาชาติ. 11(2): 64 – 77.
[20] พิสุทธา จันทร์สมบัติ. (2553). การพัฒนาหนังสือิเล็กทรอนิกส์ นิทานพื้นบ้าน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1.
มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
[21] ขวัญชนก นัยจรัญ. (2557). การวิเคราะห์ภาพสะท้อนค่านิยมของไทยจากนิทานพื้นบ้าน = An Analysis of
Popularity reflection in Thai from Folktales. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ.
[22] อมฤต หมวดทอง; สุพิชชา โตวิวิชญ์; และ อรศิริ ปาณินท์. (2559). ภูมินาม การให้ความหมายของพื้นที่ :
กรณีศึกษา ชุมชนรอบหนองหาน กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีเกี่ยวกับตำนานผาแดง – นางไอ่ = Toponym
and Its Definition Through Pha Dang Nang Ai Tale : A Case Study of Communities Around Nong Harn
Lake, Udon Thani Province. ใน การประชุมวิชาการทางสถาปัตยกรรม “สรรค์สาระสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม ประจำปี 2559”. ขอนแก่น: คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
[23] รังสิมา กุลพัฒน์. (2554). ตามรอยปาจิต – อรพิมบนเส้นทางสายตำนานไทย – ลาว – เขมร. สืบค้นเมื่อ 25
กุมภาพันธ์ 2560, จาก http://lek-prapai.org/home/view.php?
[24] อธิชัย อรรคอุดม. (2553). การพัฒนาแนวคิดและมาตรวัดต้นแบบตราสินค้าเพื่อประยุกต์ใช้เชิงการสื่อสาร
การตลาด. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[25] พาเที่ยวทั่วไทยตามรอย 8 ตำนาน-ความเชื่อ. (2557). สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2560, จาก
http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/001436/lang/th/
[26] นริศรา ศรีสุพล. (2558, กรกฎาคม – ธันวาคม). การสร้างสรรค์นาฏศิลป์พื้นเมืองจากวรรณกรรมเรื่องอุสา บารส
ในบริบทวัฒนธรรม. วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ. 17(1): 76-83.
[27] อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. (ม.ป.ป.). นิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา-บารส”. สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2560, จากhttp://www.finearts.go.th/phuphrabathistoricalpark/index.php/parameters/km/item/

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-01-18

รูปแบบการอ้างอิง

จันทะเดช อ., & กาบมาลา ม. (2019). การพัฒนาออนโทโลยีนิทานพื้นบ้านอีสานเพื่อการสืบค้นและเข้าถึง THE DEVELOPMENT OF ISAN FOLKTALE ONTOLOGY FOR INFORMATION ACCESS AND RETRIEVAL. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 10(20, July-December), 191–206. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/167108