ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตบางแค กรุงเทพมหานคร
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่งานวิจัย 1) หาความสัมพันธ์ระหว่างความถนัดทางการเรียน ความอดทน เจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ ความรู้พื้นฐานเดิม และเพศ กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) สร้างสมการเพื่อทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตบางแค กรุงเทพมหานคร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็น นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตบางแค กรุงเทพมหานคร จำนวน 12 โรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 1,233 คน โดยใช้ประชากรทั้งหมด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบวัดความถนัดทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่น .85 แบบวัดความอดทน มีค่าความเชื่อมั่น .78 และแบบวัดเจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ มีค่าความเชื่อมั่น .90 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์โดยการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน พบว่า ปัจจัยต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของการวิจัย โดยความรู้พื้นฐานเดิม (X5) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มากที่สุดเท่ากับ .786 ความถนัดทางการเรียน (X2) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .511 เจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ (X4) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .226 ความอดทน (X3) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .224 และ เพศ (X1) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์น้อยที่สุดเท่ากับ .206 2. การวิเคราะห์ถดถอยพหุระหว่างชุดตัวแปรอิสระ คือ เพศ (X1) ความถนัดทางการเรียน (X2) ความอดทน (X3) เจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ (X4) และความรู้พื้นฐานเดิม (X5) กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (Y) พบว่า ตัวแปรที่พบนัยสำญที่ระดับ .05 ได้แก่ ความถนัดทางการเรียน (X2) ความอดทน (X3) เจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ (X4) และความรู้พื้นฐานเดิม (X5) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุเท่ากับ .995 และค่าสัมประสิทธิ์การอธิบายเท่ากับ .989 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของการวิจัย และพบว่าตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มากที่สุดคือ ความรู้พื้นฐานเดิม (X5) และ น้อยที่สุดคือ ความอดทน (X3) สามารถสร้างสมการเพื่อทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้ สมการทำนายในรูปของสมการคะแนนดิบ Y ̂ = .535 - .973 X2 -.977X3 - .987 X4 + 3.664 X5 สมการทำนายในรูปของสมการคะแนนมาตรฐาน Z_Y ̂ = - .670 Z_(X_2 )- .595 Z_(X_3 )- .719 Z_(X_4 )+ 2.070 Z_(X_5 )
Article Details
เอกสารอ้างอิง
บุญชม ศรีสะอาด. (2524).รูปแบบของผลการเรียนในโรงเรียน. ปริญญานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
ยุทธภูมิ ดรเถื่อน. (2550). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดชัยภูมิ. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
รุ่งภรณ์ กล้ายประยงค์. (2555). การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 3 เฉพาะจังหวัดนนทบุรี. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
วิมล ประจงจิตร. (2553). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยภูมิ เขต 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ.
สุขฤกษ์ ดีโนนโพธิ์. (2554). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ.
เอนก บุญสวน. (2553). การวิเคราะห์จำแนกปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์สูงและต่ำของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดเพชรบูรณ์. วิทยนิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์.
Bloom, B.S. (1976). Human Characteristic and School Learning. New York : McGraw – Hill.