การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชน จังหวัดอุดรธานี สกลนคร หนองคาย และกาฬสินธุ์
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสาราณียธรรมของประชาชนจังหวัดอุดรธานี สกลนคร หนองคาย และกาฬสินธุ์, 2) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลัก สาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชน และ 3) เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชน จำแนกตัวปัจจัยส่วนบุคคล, 4) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสาราณียธรรมในการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชน และ 5) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชน เป็นการวิจัยผสมวิธีทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุดรธานี สกลนคร หนองคาย กาฬสินธุ์ จำนวน 400 ท่าน พร้อมทั้งได้สัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่, ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, ที-เทสท์, เอฟ-เทสท์ และค่าไค-สแควร์ โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสาราณียธรรมโดยรวมสูงกว่าไม่รู้ การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนโดยรวมอยู่ในระดับเกือบทุกครั้ง ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ประชาชนที่มีเพศและอาชีพต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ไม่แตกต่างกัน ไม่เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ ส่วนประชาชนที่มีอายุ การศึกษา รายได้ต่อเดือน และภูมิลำเนาต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสาราณียธรรมของประชาชน มีความสัมพันธ์กับการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ นอกจากนี้ประชาชนยังได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์คือควรเคารพนับถือและทำดีต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ควรพูดจาดีต่อกัน ไม่ดุด่าว่าร้ายใส่ความผู้อื่น ควรรู้จักการเสียสละแบ่งปันและทำประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และควรเคารพความคิดเห็นและการตัดสินใจของผู้อื่น
Article Details
เอกสารอ้างอิง
ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2541). เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพมหานคร : เทพเนรมิต.
ไชยรัตน์ ปราณี. “รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะความสมานฉันท์ของเยาวชนไทย”. รายงานการวิจัย. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, 2552.
ธีระศักดิ์ อุ่นอารมณ์เลิศ. เครื่องมือวิจัยทางการศึกษา : การสร้างและการพัฒนา. นครปฐม: ภาควิชาพื้นฐานทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.
นิกรสุนทรกิจ (สมพงษ์ นุ่มสกุล), พระครู. “ศึกษาวิเคราะห์เรื่องความความสามัคคีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2553.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ธรรมนูญชีวิต. กรุงเทพมหานคร : การศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2547.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพมหานคร : บริษัท นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์ จำกัด, 2546.
เอกมร ฐิตปญฺโญ (คงตางาม), พระมหา. “ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการบริหารงานตามหลัก : สาราณียธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบล ในอำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2553.
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=00cc9c97039706c9 (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2555)
http://kpi.playthailand.com/ (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2555)
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/local/ (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2555)
http://www.komchadluek.net/detail (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2555)
http://www.rachavanlop-1001.com/dumrat.html (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555)
http://www.sobkroo.com/detail_room_index.php?nid=2626 (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2554)