การพัฒนาหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความ ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 The Development Electronic Storybook on Reading Comprehension Skills In English for Prathomsuksa 6 Students
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความ ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อทดลองใช้(Implement) หนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อประเมินหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อวัดความคงทนทางการเรียนของชั้นประถมศึกษาปีที่6 หลังการใช้หนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นการวิจัยและพัฒนา ใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านทะเลสองห้อง จำนวน 36 คนได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลเอกสาร แบบสัมภาษณ์ แบบวัดความพึงพอใจ แบบสอบถามความคิดเห็น แบบวัดความคงทน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์เนื้อหา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย(xˉ )ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที (t-test dependent)
ผลการวิจัยพบว่า
1.หนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความ ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีองค์ประกอบ 5 องค์ประกอบดังนี้ อักขระ ภาพนิ่ง การเชื่อมโยงข้อมูลแบบปฏิสัมพันธ์ ภาพเคลื่อนไหว เสียงเมื่อตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความ ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ (E1/E2) เท่ากับ 78.73/79.67 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญ
2 . ผลการทดลองใช้หนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าผลการเปรียบเทียบคะแนนการวัดทักษะการอ่านจับใจความก่อนและหลังเรียน แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยคะแนนทดสอบหลังเรียน สูงกว่าก่อนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .005และผลการเปรียบเทียบคะแนนการวัดทักษะการอ่านจับใจความก่อนและหลังเรียน แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .005
- ผลการใช้หนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ผลการเปรียบเทียบคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยคะแนนทดสอบหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .005 แสดงให้เห็นว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .005 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
4.นักเรียนที่เรียนด้วยหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์เสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความคงทนในการเรียน ผ่านไป 2 สัปดาห์ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .005
Article Details
เอกสารอ้างอิง
Amnat Boonsiriwiboon, Sangchawee Saibua, Lapa Chintanaseri and Alisa Wanichdee (2005).
Teaching materials, English reading series. Bangkok: Sukhothai Thammathirat Open Universi
Amornluck Sapsaso. (2007). Development of practice in reading English for understanding by
using folk tales Of Mathayomsuksa 2 students. Master of Education thesis In Curriculum and Instruction College Khonkaen University.
Bunlop Krueng Wan. (2000). Development of fast reading, thinking of. Bangkok.
Bundit Chatviroj. (2006). Teaching English at the elementary level. Bangkok. Development of
education.
Downgthida Silayong. (2009.) How to teach to read English well [Online]. Access from
http://gotoknow.org/file/candi5/ A. doc [23 January 2010]
Education, Ministry. (2003). National Education Act, 1999 and amended (Issue 2) BE 2545 (with
relevant Ministerial Regulations and the Education Act Mandatory BE 2545. Bangkok: Cargo and parcel organization. (ETO).
iriporn Boonruang. (2012). Development of electronic media on reading comprehension Of
students Elementary School Year 4, Don Wai School (Neuroscience City). Education
thesis Master of Education Technology Department of Education College Silpakorn
University.
itoon Srifa. (2008). E-Book Speaking Books. Type 2. Bangkok: Printing Base Co., Ltd.
Jarinya Kalam. (2006). Development of diagnostic tests for reading skills in English.
For grade 1 students In private religious schools in Satun Province.
Master's thesis Department of Academic Evaluation Thaksin University
Jirapan De Ma. (2002). Electronic books, Journal of Academic Service 13 (1), 3 (4)
Khajornchai Phimasingh. (2009). English reading ability for understanding of mathayom suksa
four students, Sriboonruangwittayakan School using SKIMMING and SCANNING strategies. Independent study report. Master of Education. In Curriculum and Instruction College Khonkaen University
King Kaew Atthakorn. (1976). Folklore, Bangkok: Supervisory Studies Unit Department of
Teacher Training
Linjong Chantrait. (1999). Reading for life. Nakhon Pathom: Rajabhat Institute Nakhon Pathom.
Sanit Tangthavee. (1995). Practical language usage. Bangkok: Odean Store Publishing.
Sombat Phirayueang and Saithai Intharumpun. (1995). Teaching Thai language at the
secondary level Bangkok: Thai Wattana Panich.
Sombat Champa Ngoen and Manikan Accent. (2003). Principles of Reading. 2). Bangkok:
Grammy Tree.
Thitima Songkham. (2010). The importance of English. (Online). Search from
http://thitima1984.blogspot.com/p/blog-page.html [8 August 2013].
Thanomwong ultrasonic, Mahidol. (1996). Thai language use (revised version) Unit 9.
Nonthaburi: Find Sukhothai Thammathirat Open University.
Usa Mahamad. (2005). Developing practice to enhance reading skills for understanding. From
Thai folk tales For grade 6 students. Master of Education thesis Teaching English as a foreign language Department of Curriculum and Instruction Graduate School, Silpakorn University.
Wipawan Krai-kum. (2008). New dimensions of reading around. Academic Journal, 11, (3), 26.
Wilhelm, Hughes, and T Kim . Oh, the tales You’ll tell!”. English teaching Forum 39, 9
( April- June 1999) : 27-28
