พฤติกรรมการประกอบกิจกรรมทางกาย ของบุคลากรสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการประกอบกิจกรรมทางกายของบุคลากรสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 429 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) โดยคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (index of item-objective congruence: IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ได้ค่าระหว่าง 0.60-1.00 และหาความเชื่อมั่น (reliability) โดยใช้สูตร KR-20 ได้ค่าเท่ากับ 0.68 ทำการเก็บรวมรวมข้อมูลด้วยการแจกแบบสอบถามจำนวน 429 ฉบับ ได้รับแบบสอบถามคืนทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 100 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ
ผลการวิจัยพบว่า
1) พฤติกรรมการประกอบกิจกรรมทางกายในการใช้ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ คือ ล้างจาน คิดเป็นร้อยละ94.88 ค่าเฉลี่ย 10.90 METs/สัปดาห์ และน้อยที่สุดคือ ล้างรถ คิดเป็นร้อยละ 28.43 ค่าเฉลี่ย 1.14 METs/สัปดาห์
2) พฤติกรรมการประกอบกิจกรรมทางกายในการการทำงานส่วนใหญ่ คือ นั่งพิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์
คิดเป็นร้อยละ 97.67 ค่าเฉลี่ย 9.26 METs/สัปดาห์ และน้อยที่สุดคือ เดินยกของน้ำหนัก 23 - 34 กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 62.23 ค่าเฉลี่ย 1.97 METs/สัปดาห์ และในการเดินทางส่วนใหญ่ คือ การเดิน คิดเป็นร้อยละ 52.44 ค่าเฉลี่ย 6.06 METs/สัปดาห์ และน้อยที่สุดคือ ขี่จักรยาน คิดเป็นร้อยละ 47.09 ค่าเฉลี่ย 0.99 METs/สัปดาห์
3) พฤติกรรมการประกอบกิจกรรมทางกายในการออกกำลังกาย ส่วนใหญ่ ออกกำลังกายด้วย การเดินคิดเป็นร้อยละ 82.05 ค่าเฉลี่ย 16.88 METs/สัปดาห์ และกิจกรรมนันทนาการ ส่วนใหญ่ คือเดินห้างสรรพสินค้าคิดเป็นร้อยละ 84.15 ค่าเฉลี่ย 3.28 METs/สัปดาห์ และน้อยที่สุดคือ ทำงานหัตถกรรมและงานฝีมือ คิดเป็นร้อยละ 16.78 ค่าเฉลี่ย 0.68 METs/สัปดาห์
4) พฤติกรรมเนือยนิ่ง ส่วนใหญ่เล่นโทรศัพท์ คิดเป็นร้อยละ 99.07 ค่าเฉลี่ย 6.40 METs/สัปดาห์และน้อยที่สุดคือ นั่งเล่นเกม คิดเป็นร้อยละ 52.44 ค่าเฉลี่ย 2.46 METs/สัปดาห์
5) พฤติกรรมการประกอบกิจกรรมทางกายของบุคลากรสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นกิจกรรมทางกายระดับเบา-ระดับปานกลาง โดยมีกิจกรรมทางกายน้อยกว่า 150 นาที/สัปดาห์ถ้าต้องการมีสุขภาพที่ดี ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases) หรือการใช้กำลังกายอย่างหนักเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 75 นาทีต่อสัปดาห์ และในวัยทำงานควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
Boonchai, K. (2011). Alternative Assessment In Physical Education. Bangkok: Physical Education Kasetsart University. (in Thai)
Department of Health. (2017). Physical Activities Encourage Model 2018- 2030. Bangkok:
NC Concept. (in Thai)
Department of Physical Education. (2018). Relationship of Nutrition and Exercise. Bangkok: Ravin Printing Group Part. (in Thai)
Krabuanrat, C. (2013). Physical Activity. Journal of Health, Physical Educktion and Recreation of Thailand, 39(1), 5-6. (in Thai)
Miller, L.H. et al. (1972). Encyclopedia and Dictionary of medicine and Nursing. Philadelphia: WB Saunders.
Ministry of Public Health. (2018). Situation on NCDs Prevention and Control in Thailand. Retrieved 2019, October, 24, from http://www.thaincd.com/document/file/download/paper-manual/NCDUNIATF61.pdf. (in Thai)
National Statistical Office. (2016). Usage of Communication Technology and Communication inHousehold 2016. Retrieved 2019, October, 22, from www. http://service.nso.go.th. (in Thai)
Prathipawanitma, P. (2016). Office Syndrome Capital Disease. Retrieved 2019, October, 23, from www.never-age.com/347-1-Office%20Syndrome%. (in Thai)
Sriramatr, S. (2014). Physical Activity for Wellness. Bangkok: Chulalongkorn University (in Thai)
Tansalee, Y. (2015). Applying Transtheoretical Model to Promote Physical Activity Behaviors of Kasetsart University Personnel. (Doctor of Philosophy Thesis.) Kasetsart University, Major Field: Physical Education, Department of Physical Education. (in Thai)
Thai Health Promotion Foundation. (2016). 3 Level of Construct Physical ActivityRetrieved 2019, October, 15, from www.thaihealth.or.th/Content/338639A.html. (in Thai)
World Health Organization. (2015). Global Strategy on Diet, Physical Activity and Health Retrieved 2019, October, 11, from www. who.int/iris/bitstream/handle/10665//10665//43035/
