Home
การส่งบทความ
ในขั้นตอนการส่งบทความ ผู้แต่งต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดรายการตรวจสอบการส่งทุกข้อ ดังต่อไปนี้ และบทความอาจถูกส่งคืนให้กับผู้แต่งกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมด
[ฟอร์มบทความ] สำหรับผู้ที่สนใจส่งบทความเพื่อตีพิมพ์กับทางวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ สามารถดาวน์โหลด Template การเตรียมต้นฉบับบทความ ได้ที่: กดเพื่อดาวน์โหลด
บทความที่ส่งเพื่อตีพิมพ์กับทางวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ ต้องเป็นบทความไม่เคยตีพิมพ์ หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และเป็นบทความที่ไม่อยู่ระหว่างการส่งให้วารสารอื่น
ไฟล์บทความต้นฉบับจัดพิมพ์ด้วย Microsoft Word ระบบปฏิบัติการวินโดว์ (ประเภทไฟล์ .doc, .docx)
สำหรับแหล่งข้อมูลอ้างอิงออนไลน์ที่สามารถระบุแหล่งที่มาเข้าถึงได้ โปรดระบุลิงค์ URLs เพื่อเข้าถึงในส่วนบรรณานุกรมภายในบทความร่วมด้วย
ผู้ส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ทำการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ภายในบทความเพื่อตีพิมพ์กับวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ อาทิ ความยาวเนื้อหา รูปแบบอักษร ขนาดอักษร การเว้นวรรคตอน การเคาะ Spacebar (ใช้เพียง 1 เคาะ) การวางตำแหน่งภาพและตารางให้พอดีกับขนาดหน้าตามเกณฑ์ที่วารสารวิจัยกำหนด (โปรดพิจารณาในหัวข้อ "คำแนะนำผู้แต่ง")
บทความควรใช้ภาษาทางวิชาการอย่างเหมาะสม รวมถึงการอ้างอิงภายในเนื้อหาและบรรรณานุกรมเป็นไปตามหลักเกณฑ์รูปแบบ APA 7th Edition
บทความที่ถูกส่งมาให้วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ ผ่านการพิจารณาเบื้องต้น จะได้รับการประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิตามเกณฑ์ที่กำหนดในลักษณะปกปิดข้อมูลทั้งสองฝ่าย (Double-Blind Peer Review) ทั้งนี้ บทความผ่านเกณฑ์การประเมินอย่างน้อย 2 ใน 3 ท่าน จึงถือว่าบทความผ่านเกณฑ์การประเมินบทความของวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์
คำแนะนำสำหรับการเตรียมต้นฉบับเพื่อตีพิมพ์วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์
1. บทความที่ส่งเพื่อตีพิมพ์ บทความที่ส่งเพื่อตีพิมพ์กับทางวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ ต้องเป็นบทความไม่เคยตีพิมพ์ หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และเป็นบทความที่ไม่อยู่ระหว่างการส่งให้วารสารอื่น
2. ประเภทไฟล์ ต้นฉบับพิมพ์ด้วย Microsoft Word for Windows (.doc, .docx)สำหรับผู้ที่สนใจส่งบทความเพื่อตีพิมพ์กับทางวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ สามารถดาวน์โหลด Template การเตรียมต้นฉบับบทความ ได้ที่: --> กดเพื่อดาวน์โหลดตัวอย่างการเตรียมต้นฉบับ (Template)
3. รายละเอียดต่าง ๆ ภายในบทความเพื่อตีพิมพ์กับวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ 3.1 ขนาดกระดาษ กระดาษ A4 (21.0 x 29.7 ซ.ม.) 3.2 การกำหนดขอบหน้ากระดาษ ส่วนบน (2.50 ซ.ม.) และส่วนซ้าย ส่วนขวา และส่วนล่าง (1.90 ซ.ม.) 3.3 ความยาวของเนื้อหา ประมาณ 10-20 หน้า มีจำนวนคำไม่เกิน 7,000 ตัวอักษร 3.4 รูปแบบอักษร ภาษาไทย TH SarabunPSK และ ภาษาอังกฤษ Times New Roman 3.5 ขนาดอักษร (ตามที่ระบุใน Template การเตรียมต้นฉบับบทความ) 1) ชื่อบทความ - ใช้ตัวหนา ชิดซ้าย ขนาด 18 พอยน์ 2) ชื่อผู้แต่ง - ใช้ตัวปกติ ชิดซ้าย ขนาด 15 พอยน์ 3) สังกัด และที่อยู่ - ใช้ตัวเอียง ชิดซ้าย ขนาด 15 พอยน์ 4) ผู้ประพันธ์บรรณกิจ/ผู้ประพันธ์ร่วม และอีเมล - ใช้ตัวปกติ ชิดซ้าย ขนาด 15 พอยน์ 5) หัวข้อภายในบทความ - ใช้ตัวหนา ชิดซ้าย ขนาด 15 พอยน์ 6) เนื้อหาภายในบทความ - ใช้ตัวปกติ ขนาด 15 พอยน์ 7) เนื้อความส่วนบรรณานุกรม - ใช้ตัวปกติ ขนาด 15 พอยน์ 3.6 บทความมีส่วนบทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (Abstract) และมีการระบุคำสำคัญ (Keywords) ทั้งนี้ บทคัดย่อแต่ละส่วน มีจำนวนคำไม่เกิน 250 ตัวอักษร 3.7 บทความที่มีการระบุ จริยธรรมการวิจัย การเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย / ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งผู้ให้ทุนวิจัย ระบุไว้ในส่วนกิตติกรรมประกาศ คำประกาศ (หากมี) 3.8 ผู้เขียนบทความมีการตรวจสอบความถูกต้องของการพิมพ์ต้นฉบับ เช่น การตัวสะกดคำ การเว้นวรรคตอน ความเหมาะสมของเนื้อหาแต่ละย่อหน้าและการใช้ภาษา รวมถึงการอ้างอิงภายในเนื้อหาและบรรณานุกรมตามหลักการอ้างอิง APA 7th Edition
4. สำหรับบทความวิจัย ควรมีองค์ประกอบ ลำดับการเขียน และการระบุหัวข้อภายในบทความให้ชัดเจน ดังนี้ 4.1 บทนำ (Introduction) เนื้อหาที่มีความครอบคลุมความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัยพร้อมทั้งเสนอภาพรวมของบทความและวัตถุประสงค์ของบทความ 4.2 ทบทวนวรรณกรรม (Literature Review) กล่าวถึงกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ใช้อธิบายเนื้อหาภายในบทความชิ้นนี้ 4.3 ระเบียบวิธีการศึกษา (Methodology and method) ที่สามารถอธิบายวิธีดำเนินการวิจัย วิธีการเก็บข้อมูล และเครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัยอย่างชัดเจน 4.4 ผลการศึกษา (Result) ที่สามารถอธิบายข้อค้นพบจากการทำวิจัยที่เกิดขึ้น 4.5 อภิปรายผล (Discussion) การขมวดประเด็น หรือการประมวลผล หรือการวิพากษ์ ต่อข้อค้นพบจากการศึกษา นำไปสู่การเชื่อมโยงหรือเปรียบเทียบทางแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง หรือข้อค้นพบทางวิชาการที่ผ่านมา 4.6 สรุป (Conculusion) 4.7 กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) (หากมี) 4.8 คำประกาศ (Declaration) (หากมี) 4.9 บรรณานุกรม (References) ทั้งในส่วนการอ้างอิงเนื้อหา (Citations) และการอ้างอิงบรรณานุกรมตามรูปแบบ APA 7th Edition
5. สำหรับบทความวิชาการ ควรมีองค์ประกอบ ลำดับการเขียน และการระบุหัวข้อภายในบทความให้ชัดเจน ดังนี้ 5.1 บทนำ (Introduction) แสดงความสำคัญ ที่มา และวัตถุประสงค์ของบทความ 5.2 เนื้อหา 5.2.1 มีหัวข้อและเนื้อหา มีลำดับเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ชัดเจน รวมถึงมีการใช้ทฤษฎีวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ตามหลักวิชาการ 5.2.3 มีการสรุปประเด็น อาจเป็นการนำความรู้ กรอบแนวคิดและทฤษฎีจากแหล่งต่าง ๆ มาสังเคราะห์ โดยที่ผู้เขียนสามารถให้ทัศนะทางวิชาการผ่านมุมมองของผู้เขียน เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน และนำเสนอแนวคิดใหม่ 5.3 บทสรุป (Conculusion) แสดงผลลัพธ์ที่มีความสำคัญของบทความ แนวทางการนำไปใช้ประโยชน์
6. การพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ กองบรรณาธิการฯ มีการพิจารณาบทความที่ส่งเข้ามาและเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิคัดกรองบทความ เพื่อพิจารณาคุณภาพความเหมาะสมของบทความก่อนการจัดพิมพ์ (สามารถพิจารณารายละเอียดหัวข้อ "กระบวนการประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ ") โดยการประเมินบทความสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ 6.1 กรณีที่ผลการพิจารณาให้จัดพิมพ์ได้ หรือต้องมีการปรับปรุงแก้ไขก่อน - กองบรรณาธิการฯ จะแจ้งให้ทราบ โดยผู้เขียนจะต้องดำเนินการปรับแก้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด และกองบรรณาธิการฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการตกแต่งต้นฉบับความถูกต้องตามหลักภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 6.2 กรณีที่ผลการพิจารณาไม่สามารถจัดพิมพ์ได้ กองบรรณาธิการฯ จะแจ้งและส่งต้นฉบับผลงานคืนแก่ผู้เขียน
7. การอ้างอิงเอกสาร ผู้ส่งบทความต้องระบุแหล่งที่มาของข้อมูลหรือเอกสารอ้างอิงที่ใช้ในบทความ โดยจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความตามรูปแบบ APA 7th Edition ทั้งนี้ ควรตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของการอ้างอิงให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์กำหนดอย่างเคร่งครัด สำหรับเอกสารอ้างอิงภาษาไทย ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษและระบุ "(in Thai)" ในวงเล็บท้ายรายการ พร้อมจัดเรียงรวมกับเอกสารอ้างอิงภาษาอังกฤษ ส่วนการอ้างอิงในเนื้อหา (in-text citation) ให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยผู้ส่งบทความต้องยึดตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ https://drive.google.com/file/d/1O5kIiRUkhFJ5mfuxPUzAtBAlz4IEhYMk/view?usp=sharing
1) บทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ความคิดเห็นและเนื้อหาเป็นของผู้แต่ง 2) ทัศนะและข้อคิดเห็นในวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน มิใช่ทัศนะและข้อเขียนของกองบรรณาธิการฯ หรือสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ประสงค์จะนำข้อความใดๆ ไปผลิต / เผยแพร่ซ้ำต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียนและกองบรรณาธิการวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ ว่าด้วยกฎหมายลิขสิทธิ์