รูปแบบการอนุรักษ์ศาสนสถานของวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างยั่งยืน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก ๓ ประการ ได้แก่ (๑) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาในการอนุรักษ์พุทธสถานของวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (๒) เพื่อพัฒนากระบวนการในการอนุรักษ์ พุทธสถานของวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างยั่งยืน และ (๓) เพื่อนำเสนอรูปแบบในการอนุรักษ์พุทธสถานของวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๒๔ รูป/คน เลือกแบบเจาะจง และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ สรุปผล และ
นำเสนอเขียนเป็นความเรียง ผลการศึกษาวิจัย พบว่า สภาพปัญหาในการอนุรักษ์ศาสนสถานของวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีปัญหามากที่สุด ได้แก่ ด้านการบูรณปฏิสังขรณ์ ซึ่งพบใน ๔ วัด คือ วัดมเหยงคณ์ วัดภูเขาทอง วัดธรรมมิกราช และวัดตึก รองลงมา ได้แก่ ด้านการสงวนรักษา พบใน ๒ วัด คือ วัดใหญ่ชัยมงคลและวัดมเหยงคณ์ และด้านการประยุกต์ใช้สอย พบใน ๒ วัด คือ วัดหน้าพระเมรุและวัดกษัตราธิราชวรวิหาร ในขณะที่ปัญหาด้านการป้องกัน พบเฉพาะในวัดพุทไธศวรรย์ ตามลำดับ ส่วนการพัฒนากระบวนการในการอนุรักษ์พุทธสถานของวัดในจังหวัดพระนครศรี อยุธยาอย่างยั่งยืน ประกอบด้วยการดูแลรักษา การมีส่วนร่วม การประชาสัมพันธ์ ความมั่นคง และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รูปแบบในการอนุรักษ์พุทธสถานของวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างยั่งยืน หรือเรียกว่า LANTI โมเดลประกอบด้วย L = Legal Provisions, A = Attractions; Trajectory Buddhist Attractions,
N = Networking Communities, T = Transparency, I = Integration
Article Details
เอกสารอ้างอิง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. วัดพัฒนา ๔๓. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๓.
ขจรจบ กุสุมาวลี. “การจัดการพื้นที่ประวัติศาสตร์ จากกรณีศึกษาบริเวณวิหารพระมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา.” รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๒.
ทรงคุณ จันทจร. “การศึกษาและพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม.” รายงานการวิจัย. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์, ๒๕๔๙.
นิลรัตน์ กลิ่นจันทร์ และคณะ. “การศึกษาศาสนสถานที่สำคัญต่อการอนุรักษ์การท่องเที่ยวของวัดในกรุงเทพมหานคร.” รายงานการวิจัย. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น). “รูปแบบการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประเภทวัดในกรุงเทพมหานคร.” รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาท่องเที่ยวไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๕๒.
มะลิ โคกสันเทียะ. ข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาในการอนุรักษ์โบราณสถานของกองโบราณคดี. เอกสารประกอบการสัมมนา การอนุรักษ์โบราณสถานในฐานะเป็นหลักฐานทางวิชาการ, ๖-๗ สิงหาคม มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๐.
รสิกา อังกูร. “ความพร้อมของวัดในเขตกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยผ่านการนำชมศิลปวัฒนธรรม.” รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร: สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๔.
วัชราภรณ์ ระยับศรี. “พฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงพุทธของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่มาเที่ยววัดในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร.” รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๕๑.
สมคิด จิรทัศนกุล และคณะ. “รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของวัดในพระพุทธศาสนาในชุมชนท้องถิ่น.” หนังสือรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๐. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ หจก. อรุณการพิมพ์, ๒๕๕๑.
สายันต์ ไพรชาญจิตร์. กระบวนการโบราณคดีชุมชน : การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความสามารถของชุมชนท้องถิ่น. กรุงเทพมหานคร: สถาบันไทยคดีศึกษา และภาควิชาการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘.
สุมาลี สันติพลวุฒิ และคณะ. “แนวทางในการวางแผนระดับชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกรณีศึกษาตำบลเขาสามยอดและตำบลชอนน้อย.” รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๕.
Brown, W.B. and Moberg, D.J. Organization Theory and Management: Macro Approach. New York: John Wiley and Sons, 1980.
Buchanan, C. & Partners. A Study in Conservation. Report to the Minister of Housing and Local and Government and Bath City Council. London: HMSO, 1968.
Davidson, Rob. Tourism Marketing. New York: Van Nastran’s Reinhold, 1995.
Donala, Appleyard.The Conservation of European Cities. Cambridge: The M.I.T. Press, 1979.