แนวทางการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา (๒) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา วิธีการดำเนินงานวิจัยมี ๒ ขั้นตอน คือ (๑) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง ๘ กลุ่ม จากสถานศึกษาจำนวน ๒๙ แห่ง จำนวน ๒๖๑ คน เป็นการเก็บข้อมูลทั้งหมดทุกแห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๙๘ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) (๒) นำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๗ คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า (๑) สภาพปัจจุบันของระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และดัชนีค่าความต้องการจำเป็น ในภาพรวมมีค่าเท่ากับ ๐.๑๑ (๒) แนวทางการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย ๕ ด้าน ๑๘ แนวทางโดยเรียงลำดับตามค่าของความต้องการจำเป็นที่ต้องการพัฒนาจากลำดับแรกที่ต้องพัฒนาดังนี้ดังนี้ (๑) ด้านบริบท มี ๓ แนวทาง เช่น สถานศึกษาควรจัดการเรียนการสอนที่เป็นวิชาเลือกหรือคอร์สระยะสั้นเน้นการสอนผู้เรียนให้เกิดทักษะด้านอาชีพโดยหาวัตถุดิบจากท้องถิ่นมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่าย ช่องทางการขาย การวางแผนทางการเงินให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง (๒) ด้านทรัพยากร มี ๓ แนวทาง เช่น สถานศึกษาควรศึกษาชุมชนในท้องถิ่นว่ามีภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือความรู้ใดที่น่าสนใจและนำมาเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียน (๓) ด้านวัฒนธรรมองค์กร มี ๔ แนวทาง เช่น สถานศึกษาควรสนับสนุนให้บุคลากรในองค์กรให้เกียรติกันเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและยอมรับในความเห็นต่างได้ เคารพในการตัดสินใจและหาข้อตกลงร่วมกัน (๔) ด้านกระบวนการเรียนรู้ มี ๔ แนวทาง เช่น สถานศึกษาต้องมีการวิเคราะห์บริบทของโรงเรียนให้ทันต่อเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของกระแสโลก เก็บข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์ เช่น สำรวจความสำเร็จจากผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน การศึกษาต่อ เพื่อวางแผนเป้าหมายและปรับปรุงหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียน (๕) ด้านเทคโนโลยี มี ๔ แนวทาง เช่น สถานศึกษาควรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนโดยสนับสนุนด้านอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่สามารถอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ของครูและผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
นพภัสสร เลิศยศอนันต์. “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน โรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา จังหวัดร้อยเอ็ด”. วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยวิทยาเขตร้อยเอ็ด. ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มิถุนายน ๒๕๖๑) : ๒๔-๓๔.
ภริมา วินิธาสถิตย์กุลและ ชนินันท์ แย้มขวัญยืน. “การเรียนรู้เชิงรุก : แนวทางการเรียนการสอนที่เป็นเลิศในศตวรรษที่๒๑”. วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย. ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๓ (กันยายน – ธันวาคม ๒๕๖๕) : ๙๒๑-๙๓๓.
วาสนา จักรแก้ว. “การเพิ่มโอกาสและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาของเด็กด้อยโอกาสภาคเหนือตอนบน”. Veridian E-Journal มหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ. ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓ (กันยายน – ธันวาคม ๒๕๖๑) : ๑๗๖๗-๑๗๘๕.
วิจารณ์ พานิช. การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ ๒๑. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิสยามกัมมาจล, ๒๕๕๖.
ศศินันท์ เศรษฐวัฒน์บดี. “การศึกษาระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาในจังหวัดปทุมธานี”.
วารสาร EDU. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – เมษายน ๒๕๖๖) : ๑๐๒-๑๑๓.
ศุภาพิชญ์ อินแตง. “วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของกลุ่มเจนเนอร์เรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล”. สารนิพนธ์การจัดการมหาบัณฑิต. คณะวิทยาลัยการจัดการ : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๖๕.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๗๙. กรุงเทพมหานคร : บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จำกัด, ๒๕๖๐.
________________. สภาพการจัดนิเวศการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทประเทศ. สมุทรปราการ : บริษัท เอส.บี.เค. การพิมพ์ จำกัด, ๒๕๖๔.
สุกัญญา ล่ำสัน. “วัฒนธรรมองค์การที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม”. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, ๒๕๖๕.
สุรัตน์ แท่นประเสริฐกุล. “ระบบนิเวศนวัตกรรมในโรงเรียนที่มุ่งพัฒนานักเรียนนวัตกร”.
วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต. สาขาวิชาการบริหารการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ : มหาวิทยาลัยศรี-นครินทรวิโรฒ, ๒๕๖๔.
Fatih BAYDAR. “The Role of Educational Leaders in the Development of Students’ Technology Use and Digital Citizenship”. Malaysian Online Journal of Educational Technology. vol. 10 No.1 (2022) : 32-46.
Jeffrey Ludwig. “An Experiment in Active Learning: The Effects of Teams”. International Journal of Educational Methodology. vol. 7 No.2 (2021) : 353-360.
Jo Antonio Capece. “The Knowledge of Local Communities and School Knowledge: In Search of a Didactic Transposition in Natural Sciences”. Universal Journal of Educational Research. vol. 6 No.1 (2018) : 132-138.
Omer Faruk AK. “Analysis of Manager and Teacher Opinions on the Management of School Risks in the Framework of the Internal Control Risk Management Model”. Educational Policy Analysis and Strategic Research. vol. 16 No.2 (2021) : 208-245.
Xinzhuo Zhu and Jingya Luo. “Family capital and the quality of senior secondary education opportunities: An analysis based on the post-junior secondary education tracking in county B of Jiangsu province”. Best Evidence in Chinese Education. vol. 13 No.1 (2023) : 1679-1688.