การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยศึกษาผลของการเรียนการสอนตามหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) เพื่อสร้างและประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีนโดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดย
การสุ่มแบบกลุ่ม (Custer random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ หลักสูตรส่งเสริมความสามารถ
ในการเขียนอักษรจีนโดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เอกสารประกอบหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีนโดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนอักษรจีนหลังการใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า T-Test
ผลการวิจัยพบว่า 1) พบว่า การพิจารณาความเหมาะสมของหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า
ความเหมาะสมรวมทั้ง 7 ด้าน มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมของหลักสูตรฯ อยู่ในระดับมาก ( = 4.40 , S.D. = 0.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการวัดและประเมินผล ( = 4.60 , S.D. = 0.55) มีคุณภาพของหลักสูตรฯมากที่สุด ผลการพิจารณาความเหมาะสมของเอกสารประกอบหลักสูตรส่งเสริมความสามารถ
ในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ค่าเฉลี่ยความเหมาะสมของเอกสารประกอบหลักสูตรฯ อยู่ในระดับมาก ( = 4.47 , S.D. = 0.69)
เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านมีระดับความเหมาะสมมากที่สุด 2 ด้านได้แก่ ด้านคำชี้แจงการใช้หลักสูตรและ
แผนการดำเนินการใช้หลักสูตรตามโครงสร้างเนื้อหาหลักสูตร ( = 4.60 , S.D. = 0.50) 2) คะแนนการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้หลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.57 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 76.16 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและคะแนนหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย พบว่า คะแนนความสามารถในการเขียนอักษรจีนหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
Academic and Educational Standards Division. (2017). Core learning indicators and content for foreign language learning strand.
Ministry of Education.
Beijing International Trade Promotion Office. (2019). Basic information about the Chinese economy. Retrieved September 10, 2024, from
https://thaiembbeij.org/th/republic-of-china/investment/
Buason, R. (2021). Research and development of educational innovation (5th ed.). Chulalongkorn University Press.
Buasri, T. (1999). Curriculum theory: Design and development (2nd ed.). Pattana Suksa Publishing.
Guo, X. (2012). The development of Chinese writing skills among second language learners: Challenges and strategies. International
Journal of Chinese Language Education, 92, 45-62.
Huang, J. (2020). Development of a Curriculum to Enhance Chinese Writing Competency on My Life for Grade 4 International School
Students [Master's thesis]. Lampang Rajabhat University.
International Trade Promotion Office in Beijing. (2019). Trade and investment situation between Thailand and China. Retrieved from
https://ditp.go.th/contents_attach/332210/332210.pdf
Khemmanee, T. (2002). Science of teaching. Chulalongkorn University Press.
Khemmanee, T. (2013). Science of teaching: Body of knowledge for quality learning process management (2nd ed.). Dan Sunthorn
Printing.
Mansornpasa, A. (2019). A study of Chinese language learning achievement of Mathayom 1 students. Academic Journal of Rajabhat
University, 11(2), 67-82.
Ministry of Education. (2008). Basic Education Core Curriculum B.E. 2551. Agricultural Cooperative Printing House.
Ministry of Education. (2008). Indicators and learning content, foreign language learning strand in the Basic Education Core Curriculum
B.E. 2551. Agricultural Cooperative Printing House of Thailand.
Panchandra et al. (2021). Development of board games to promote Chinese character learning for Mathayom 1 students. Journal of
Education, 32(2), 78-92.
Simons, G. F., & Fennig, C. D. (Eds.). (2018). Ethnologue: Languages of the world (21st ed.). SIL International.
Slavin, R. E. (1995). Cooperative learning: Theory, research, and practice (2nd ed.). Allyn & Bacon.
Sopahai, I. (2017). Development of learning achievement and group work behavior using TGT technique for Mathayom 1 students
[Master's thesis]. Rajabhat Maha Sarakham University.
Srisa-ard, B. (2017). Preliminary research (10th ed.). Suwiriyasan.
Taba, H. (1962). Curriculum Development: Theory and Practice. Harcourt, Brace and World Inc.
Tang, M., & Tsui, A. B. M. (2018). Chinese language teaching and learning: Recent developments in China and beyond. Journal of Chinese
Language Teaching Methodology and Technology, 1(3), 1-8.
Tang, M., & Tsui, A. B. M. (2020). Development of Chinese learning sets using board games for secondary school students. Educational
Research Journal, 15(1), 145-160.
Tseng, W. T. (2017). The role of Chinese language education in promoting international trade and cultural exchange. International
Journal of Chinese Education, 6(2), 180-195.
Wang, H. (2023). The Development of Curriculum to Enhance Understanding of Chinese Literature by Using Chinese Reading and
Writing for the Third Year Students [Master's thesis]. Lampang Rajabhat University.
Zakaria, E., & Iksan, Z. (2007). Promoting cooperative learning in science and mathematics education: A Malaysian perspective. Eurasia
Journal of Mathematics, Science and Technology Education, 3(1), 35-39.
