การศึกษาวิเคราะห์แก่นธรรมจากชาดก
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้(๑)เพื่ออธิบายเนื้อหาของชาดกในรูปแบบความเรียงด้วยสำนวนภาษาร่วมสมัย ง่ายต่อความเข้าใจสำหรับคนทั่วไป(๒) เพื่อนำเสนอแก่นธรรมจากทสบารมีและหลักธรรมอื่นๆ ที่แฝงอยู่ในชาดกโดยการถอดบทเรียนจากจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์(๓) เพื่อนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมไทยปัจจุบันโดยอาศัยแนวทางจากจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ดำเนินการศึกษาโดยรวบรวมข้อมูลจากคัมภีร์ หนังสือ ตำรา และเอกสารวิชาการต่างๆ จัดระบบข้อมูล วิเคราะห์แล้วนำเสนอโดยการอธิบายความ ผลการวิจัยพบว่า
“ชาดก” คือ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นเครื่องมือสำหรับเล่าเรื่องราวที่เกิดแล้วเกี่ยวกับจริยา(ความประพฤติ)ของพระผู้มีพระพุทธเจ้าในครั้งอดีตชาติก่อนที่จะตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญทสบารมีหรือบารมี ๑๐ ประการในชาติต่างๆ ชาดกมีจำนวน ๕๔๗ เรื่อง“บารมี” ที่ทรงบำเพ็ญนั้นแปลว่า ถึงฝั่ง ธรรมเครื่องถึงซึ่งฝั่งคุณความดีที่สมบูรณ์ หมายถึงคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวดเพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่งคือความเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ คุณธรรมมีทานเป็นต้นที่ชื่อว่าบารมีก็เพราะทำให้ฐานะของพระโพธิสัตว์ยอดยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย ทสบารมีจัดเป็นพุทธการธรรม(ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า)ประกอบด้วย (๑)ทาน การให้ (๒)ศีล งดเว้นทำชั่วและมีระเบียบวินัย (๓)เนกขัมมะ หลีกจากกามารมณ์ (๔)ปัญญา ความรอบรู้โลกและชีวิต (๕)วิริยะ ความเพียร (๖)ขันติ ความอดทน (๗)สัจจะ ความจริงจัง จริงใจและ จริงการงาน (๘)อธิษฐานะ ความมั่นแน่วแน่ (๙)เมตตา ความรัก (๑๐)อุเบกขา ความเที่ยงธรรมเป็นกลาง ทสบารมีหรือบารมี ๑๐ ประการนั้นจัดลำดับดังนี้ ทานเป็นข้อที่ ๑ เพราะมีอุปการะมากแก่ศีลและบำเพ็ญได้ง่ายกว่า ศีลเป็นข้อที่ ๒ เพราะทำให้ทานมีผลมามีอานิสงส์มาก เนกขัมมะเป็นข้อที่ ๓ เพราะทำให้ศีลมีผลมากมีอานิสงส์มาก ปัญญาเป็นข้อที่ ๔ เพราะทำให้เนกขัมมะมีผลมามีอานิสงส์มาก วิริยะเป็นข้อที่ ๕ ขันติเป็นข้อที่ ๖ สัจจะเป็นข้อที่ ๗ อธิษฐานเป็นข้อที่ ๘ เมตตาเป็นข้อที่ ๙ และอุเบกขาเป็นข้อที่ ๑๐ เพราะทำให้เมตตามีผลมามีอานิสงส์มาก บารมีจำแนกเป็น ๓ ระดับ ระดับละ ๑๐ รวมเป็น ๓๐ ประการคือ(๑)บารมี ๑๐ (๒)อุปบารมี ๑๐ (๓)ปรมัตถบารมี ๑๐ นัยก็คือ ระดับบารมีเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ ระดับอุปบารมีเป็นธรรมขาวไม่เจือด้วยธรรมดำ ระดับปรมัตถบารมีเป็นธรรมไม่ขาวไม่ดำบารมีทั้งหลายที่จะให้สำเร็จประโยชน์สูงสุดคือบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณนั้น กำหนดระยะเวลาบำเพ็ญ ๓ ระดับตามคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญดังนี้ (๑)ผู้มากด้วยปัญญา(ปัญญาธิกบารมี)ใช้เวลา ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัลป์ (๒)ผู้มากด้วยศรัทธา(สัทธาธิกบารมี) ใช้เวลา ๘ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัลป์ (๓)ผู้มากด้วยวิริยะ(วิริยาธิกบารมี)ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัลป์บารมีทั้งหลายที่บำเพ็ญสมบูรณ์ย่อมให้ผลคือความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีคุณธรรมมหาศาลประมาณมิได้มีทสพลญาณเป็นต้น มีพระรูปกายประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐
ฐานะและอัยธยาศัยพระโพธิสัตว์จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการนำสังคมประเทศชาติตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันคนที่มีภูมิปัญญาดีระดับธรรมดา มีคุณธรรมจริยธรรมระดับธรรมดา มีภาวะผู้นำระดับธรรมดาไม่สามารถนำพาสังคมและแก้ปัญหาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยคนที่มีภูมิปัญญาพระโพธิสัตว์ มีคุณธรรมจริยธรรมพระโพธิสัตว์ และมีภาวะผู้นำแบบพระโพธิสัตว์จึงจะทำได้อัธยาศัยพระโพธิสัตว์ดังกล่าวนี้มีลักษณะ (๑)เป็นไปอย่างนี้ทุกที่ตลอดเวลา (๒)ยั่งยืนทนต่อการพิสูจน์ นั่นคือแม้จะมีเหตุการณ์หรือปัจจัยทั้งหลายมาเป็นบีบคั้นเป็นอุปสรรคให้เกิดมโนทุจริต(ประพฤติชั่วทางใจ) เกิดวจีทุจริต(ประพฤติชั่วทางวาจา) และเกิดกายทุจริต(ประพฤติชั่วทางกาย) อัธยาศัยพระโพธิสัตว์นี้ก็ยังคงดำรงมั่นไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เป็นคุณธรรมจริยธรรมแม้จะเป็นโลกิยะก็ยังถาวรตั้งมั่นเหมือนกับโลกุตตระองค์ประกอบเบื้องต้นของภาวะผู้นำก็คือ(๑)บารมี ซึ่งก็คือเกิดจากการบำเพ็ญบารมีต่อเนื่องมาเป็นเวลานานนี่เอง (๒)ทักษะในการสื่อสาร ซึ่งมีนัยครอบคลุมการจัดระบบเนื้อหาที่จะพูด การจัดระบบเสียงของตัวเอง การพิจารณากาละและเทศะอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะสื่อสารเรื่องใดๆ ออกไป และที่สำคัญความสามารถสร้างแรงจูงใจได้ด้วยการสื่อสาร
การแก้ปัญหาต่างๆไม่ใช่เพียงแต่ใช้ความรู้ความสามารถระดับปกติ ไม่ใช่เพียงแต่คนดีมีความสามารถซื่อสัตย์สุจริตเท่านั้น แต่ต้องใช้ความรู้ความสามารถระดับ “บารมี” ต้องอาศัยคนดีระดับมากกว่าปกตินั่นคือคนดีแบบพระโพธิสัตว์ ซึ่งเกิดจากการทำความดีโดยบำเพ็ญบารมี เรื่องพระโพธิสัตว์ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ๒ ลักษณะคือ (๑)เกิดเพราะจริยาวัตรดีงามของพระโพธิสัตว์ (๒)เกิดเพราะคุณสมบัติด้านกายภาพและจิตภาพของพระโพธิสัตว์ความสมบูรณ์สูงสุดด้านร่างกายของพระโพธิสัตว์ เรียกว่า มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ เช่น มีฝ่าพระบาทราบเสมอกันเป็นต้น มีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์เป็นที่สุด นอกจากนี้ยังประกอบด้วยคุณสมบัติด้านร่างกายเรียกว่า อนุพยัญชนะ ๘๐ นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทเหลืองงามเป็นต้น มีความวิจิตรไปด้วยระเบียบพระเกตุมาลาคือถ่องแถวแห่งพระรัศมีอันโชตนาการขึ้นเบื้องบนพระอุตมังคสิโรตม์เป็นที่สุด คุณสมบัติด้านร่างกายเหล่านี้จัดเป็น “ปรโตโฆสะ”ที่แม้จะแปลว่าเสียงจากผู้อื่นก็จริง แต่มีนัยครอบคลุมสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น รูป กลิ่น รส สิ่งสัมผัสที่รับรู้ผ่านทางตา จมูก ลิ้น กายด้วย เช่น รูปร่างสีสัณฐาน ภูมิประเทศ สิ่งประดิษฐ์อันเป็นศิลปกรรม ประติมากรรม หรือจิตรกรรม สื่อต่างๆที่รับรู้เหล่านี้ มีอิทธิพลต่อบุคคลมากโดยเฉพาะผู้มีราคจริตและสัทธาจริตมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ดังแสดงมาแล้วย่อมมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดศรัทธาและปสาทะ ท้ายที่สุดนำไปสู่โยนิโสมนสิการส่วนคุณสมบัติด้านจิตใจก็คือด้านจิตใจนั้น พระโพธิสัตว์ประกอบด้วยสมรรถทางจิต ๔ ส่วนคือ(๑)วิชชารู้แจ้งสัจธรรมของชีวิตว่า ชีวิตอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา(๒)วิมุตติปล่อยวางไม่ยึดติด (๓)วิสุทธิ ความบริสุทธิ์ พระโพธิสัตว์มีสีลวิสุทธิ คือความบริสุทธิ์แห่งศีล(๓)ฤทธานุภาพเพราะพระโพธิสัตว์มีสมาธิจิตขั้นสูงในระดับโลกิยะ ทำให้สามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้เป็นต้น